svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Health

PM 2.5 ภัยเงียบที่ทำร้ายผิวหนังมากกว่าที่คิด รู้เท่าทันก่อนผิวพังโดยไม่รู้ตัว

เตือนฝุ่น PM 2.5 ทะลุรูขุมขนทำร้ายเซลล์ผิวหนังโดยตรง กระตุ้นผื่นคัน อักเสบ และริ้วรอยก่อนวัย แนะวิธีดูแลผิวเบื้องต้นลดเสี่ยงผิวพัง

KEY

POINTS

  • ฝุ่น PM 2.5 มีขนาดเล็กมาก สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังโดยตรงและเป็นพาหะนำสารอันตรายเข้าทำร้ายเซลล์ผิว ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลงและเกิดการอักเสบ
  • การสัมผัสฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยเร่งให้ผิวเสื่อมชราก่อนวัย ทำให้เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และทำให้ผิวแห้งแพ้ง่าย
  • ฝุ่น PM 2.5 กระตุ้นให้เกิดผื่นคัน การระคายเคือง และทำให้อาการของโรคผิวหนังเดิม เช่น ภูมิแพ้ผิวหนัง กำเริบรุนแรงขึ้น

เมื่อพูดถึงฝุ่น PM 2.5 หลายคนมักนึกถึงอันตรายต่อปอด ระบบทางเดินหายใจ หรือหัวใจและหลอดเลือดเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว “ผิวหนัง” ซึ่งเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย ก็เป็นด่านแรกที่ต้องเผชิญกับมลพิษทางอากาศโดยตรง และได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อมูลจากสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ระบุว่า ฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน เล็กจนสามารถแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ไม่เพียงก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพภายใน แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพผิวในทั้งระยะสั้นและระยะยาว

 

ทำไม PM 2.5 ถึงทำร้ายผิวหนังได้

นายแพทย์อัครฐาน จิตนุยานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ อธิบายว่า ผิวหนังเป็นอวัยวะที่สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมและมลภาวะตลอดเวลา ฝุ่น PM 2.5 สามารถเข้าสู่ผิวหนังได้หลายทาง ทั้งผ่านรูเปิดของขนและเส้นผม หรือผ่านผิวหนังที่มีสภาพไม่สมบูรณ์ เช่น ผิวที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) หรือผิวที่มีการอักเสบอยู่ก่อนแล้ว

ที่สำคัญ ฝุ่น PM 2.5 ยังสามารถจับตัวกับสารเคมีและโลหะหนักต่างๆ ทำหน้าที่เสมือน “พาหะ” นำสารอันตรายเข้าสู่ผิว ส่งผลให้เซลล์ผิวถูกทำร้ายโดยตรง กลไกการป้องกันผิวตามธรรมชาติอ่อนแอลง การซ่อมแซมผิวทำงานผิดปกติ และกระตุ้นกระบวนการอักเสบในระดับเซลล์

ผลกระทบต่อผิว ทั้งระยะสั้นและระยะยาว

นายแพทย์วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ระบุว่า การสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นหนึ่งในปัจจัยเร่งให้ผิวเสื่อมชราก่อนวัย นอกเหนือจากแสงแดดและการสูบบุหรี่ โดยพบว่าผู้ที่เผชิญมลพิษทางอากาศบ่อยๆ มีแนวโน้มเกิด

  • ผื่นคัน ระคายเคืองผิว
  • ผิวอักเสบ หรือผื่นกำเริบซ้ำ
  • จุดด่างดำบนใบหน้าเพิ่มขึ้น
  • ริ้วรอยชัดขึ้น โดยเฉพาะบริเวณร่องแก้ม
  • ผิวแห้ง แพ้ง่าย และอ่อนแอลง

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงเป็นพิเศษ คือผู้ที่มีโรคผิวหนังอยู่เดิม เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือโรคผื่นผิวหนังอักเสบ ซึ่งมักมีอาการคันและระคายเคืองมากกว่าคนทั่วไปเมื่อเผชิญฝุ่น PM 2.5

 

PM 2.5 ไม่ใช่แค่ปัญหาปอด แต่คือ “ภัยเงียบของผิว”

แพทย์หญิงจันทร์จิรา สวัสดิพงษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง เน้นย้ำว่า PM 2.5 เป็นภัยเงียบที่ทำร้ายผิวหนังโดยหลายคนไม่รู้ตัว ฝุ่นขนาดเล็กเหล่านี้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิว ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และกระตุ้นให้โรคผิวหนังที่มีอยู่เดิมกำเริบ การป้องกันและลดการสัมผัสกับฝุ่นจึงเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลสุขภาพผิวในยุคมลพิษ

การดูแลผิวเมื่อจำเป็นต้องเผชิญ PM 2.5

หากหลีกเลี่ยงฝุ่นไม่ได้ หรือมีอาการผื่นคันหลังสัมผัส PM 2.5 สามารถดูแลตนเองเบื้องต้นได้ดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงการแกะเกาและการเสียดสีผิว เพราะจะทำให้ผิวอักเสบและผื่นรุนแรงขึ้น
  2. ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน ใช้สบู่อ่อนหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ระคายเคือง เพื่อไม่ทำลายเกราะป้องกันผิว
  3. ทาครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมความแข็งแรงให้ผิวและลดการสูญเสียความชุ่มชื้น
  4. กรณีมีอาการคัน สามารถรับประทานยาแก้แพ้ในกลุ่มสารต้านฮิสตามีนเพื่อลดอาการได้
  5. การใช้ยาทาสเตียรอยด์ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร ไม่ควรซื้อใช้เองโดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

หากผื่นมีอาการรุนแรง ลุกลาม หรือไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

 

ปกป้องผิววันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

ในยุคที่ปัญหาฝุ่น PM 2.5 กลายเป็นเรื่องใกล้ตัว การดูแลสุขภาพผิวไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพโดยรวม การลดการสัมผัสฝุ่น ป้องกันผิวอย่างถูกวิธี และใส่ใจสัญญาณเตือนจากร่างกาย จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคผิวหนัง และรักษาผิวให้แข็งแรงได้ในระยะยาวอย่างยั่งยืน