
เทศกาลคริสต์มาส อีกหนึ่งเทศกาลที่ชาวไทยนิยมและได้เฉลิมฉลองไปกับช่วงเวลาแห่งความสุข โดยเทศกาลคริสต์มาสของบ้านเราได้รับอารยธรรมตะวันตกมา และได้เริ่มฉลองคริสต์มาสในครั้งแรกที่โบสถ์ทางคริสตศาสนาทุกแห่งในแผ่นดินสยาม โดยเริ่มตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว อาจมีการกินเลี้ยงเป็นพิเศษเพื่อการเฉลิมฉลอง และการให้ของขวัญแก่กันและกัน หากมองในแง่ของความบันเทิงและงานรื่นเริงนั้น คนไทยก็เอ็นจอยได้กับทุกเทศกาลอยู่แล้ว นอกจากเป็นการเฉลิมฉลองเเล้ว ทุกกิจกรรมในวันคริสต์มาสล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวเเละความหมายยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่อีกด้วย
คริสต์มาสอีฟ (Christmas Eve)
ตามวัฒนธรรมตะวันตกโดยทั่วไปคือ วันที่ 24 ธันวาคม ของทุกปีตามระบบปฏิทินสมัยใหม่ ความหมายจริงคือ เย็นแรกของวันคริสต์มาส ซึ่งมีการเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึงการประสูติของพระเยซูโดยในวันนี้ ชาวคริสต์จำนวนมากจะเดินทางไปร่วมพิธีนมัสการ ตามโบสถ์คาทอลิค ทำกันในเวลาเที่ยงคืนหรือที่ทางเยอรมนีเรียกว่า “ไวฮนาคท” (Weihnacht) หรือมีความหมายเดียวกันกับคำว่า “White Christmas”ซึ่งถือว่าเป็น “คืนอันศักดิ์สิทธิ์”
เหตุผลเทศกาลที่ คริสต์มาส เริ่มต้นในตอนเย็นของวัน คริสต์มาสอีฟ เพราะธรรมเนียมการนับปีของคริสเตียน วันจะเริ่มต้นเมื่อพระอาทิตย์ตก ตามเรื่องราวในปฐมกาล เกิดความสว่างกับความมืด คือวันที่ 1นอกจากนี้ในคืนก่อนวันนี้จะมีงานแครอลลิง ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปร้องเพลงตามบ้าน ในคืนวันคริสต์มาส ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน และ ในคืนวัน คริสต์มาสอีฟ เด็กๆ จะเอาถุงเท้าไปแขวนไว้หน้าเตาผิง เพราะเชื่อว่าซานต้าจะปีนลงมาตามปล่องไฟและเอาของขวัญใส่ไว้ในถุงเท้า ถือเป็นของขวัญวันคริสต์มาสที่หลายคนต่างรอคอย
วันคริสต์มาส (Christmas )
วันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี มีการฉลองวันประสูติของพระเยซูคริสต์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งวันหนึ่งในศาสนาคริสต์ ไม่ใช่แค่เป็นการจัดงานฉลองรื่นเริงเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว แก่นแท้การฉลองคริสต์มาส นั่นก็คือ การย้ำเตือนให้มนุษย์ทุกคนมอบความรักและรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างเต็มที่โดยมีศนูย์รวมจิตใจคือ พระเยซูคริสต์ นั่นเองซึ่งยังเป็นวันหยุดทางศาสนาและวัฒนธรรม โดยแต่ละครอบครัวต่างออกมาร่วมเทศกาลแห่งความสุข และถือเป็นโอกาสดีที่จะมีการเยี่ยมเยียนระหว่างญาติพี่น้องส่วนในตอนกลางคืนทุกคนจะพร้อมหน้าเพื่อมาร่วมรับประทานอาหารค่ำและอาหารมื้อ สำคัญบนโต๊ะนั่นก็คือไก่งวง และยังเป็นวันที่เด็กๆ ต่างรอเปิดของขวัญจากซานต้าคลอสอีกด้วย
การตกแต่ง“ต้นสน”ในเทศกาลคริสต์มาส
ในอดีตเชื่อกันว่าต้นไม้คริสต์มาสหมายถึงต้นไม้ในสวนสวรรค์ซึ่งชาวคริสต์จึงเริ่มมีการแสดงละครคริสต์มาส โดยนำต้นสนวางไว้บริเวณกลางลาน เพื่อประดับฉาก เเละเพื่อสื่อถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา สำหรับสาเหตุของการนำ “ต้นสน” มาเป็นสัญลักษณ์ในวันคริสต์มาส นั่นเป็นเพราะว่า ต้นสนจะเขียวชอุ่มตลอดทั้งปีแม้ในฤดูหนาว สื่อถึงความมีชีวิตชีวาและความอุดมสมบูรณ์ และยังสื่อถึง พระเยซู เกี่ยวกับการเกิดใหม่ของชีวิตนั่นเอง จนกระทั่งศตวรรษที่ 15 ได้มีคำสั่งห้ามแสดงละครคริสต์มาส เนื่องจากมีการสอดแทรกเรื่องราวล้อเลียนเสียดสีชาวบ้าน ผู้ปกครอง และศาสนาเอาไว้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับบรรยากาศของการเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสแบบที่เคยเป็นมา
ต่อมาจึงเปลี่ยนไปจัดกิจกรรมรื่นเริงที่บ้านของแต่ละคนแทน และได้มีการวางต้นสนไว้บริเวณกลางบ้านเช่นเดียวกันกับในลานที่เป็นพื้นที่แสดงละคร และเริ่มแขวนนลูกแอปเปิ้ล และแผ่นขนมปังเพื่อระลึกถึงพิธีศีลมหาสนิท โดยชาวเยอรมนีจึงเริ่มตกแต่งบ้านเรือนในช่วงวันคริสต์มาสอย่างเเพร่หลาย และธรรมเนียมนี้ได้ถูกขยายวงไปยังประเทศอังกฤษ จากการที่เจ้าชายอัลเบิร์ต (Albert, Prince Consort) ซึ่งเป็นชาวเยอรมนีได้นําต้นคริสต์มาสไปตั้งไว้ในพระราชวังวินเซอร์ (Windsor Castle) ใน ค.ศ.1840
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1882 ได้มีการทดลองตกเเต่งต้นคริสต์มาสด้วยหลอดไฟฟ้าเป็นครั้งแรกภายในบ้านของเพื่อนโทมัส เอดิสัน (Thomas Edison) นักประดิษฐ์คนสำคัญ โดยใช้หลอดไฟฟ้ารวมทั้งสิ้นกว่า 80 หลอด เเละต่อมาในปี ค.ศ.1903 เริ่มมีการผลิตไฟสำหรับประดับวันคริสต์มาสออกจำหน่ายเเละได้กลายเป็นที่นิยมในการตกเเต่งต้นไม้คริสต์มาสดังที่เห็นได้ในปัจจุบัน
สรุปแล้ว "คริสต์มาสอีฟ" คือวันก่อนถึงวันคริสต์มาสตรงกับวันที่ 24 ธันวาคม นับเป็นวันเริ่มแรกก่อนเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาส เพราะคำว่าคริสต์มาสอีฟ มีความหมายว่า เย็นแรกของวันคริสต์มาส โดยจะมีการเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึงพระเยซู ส่วนวัน "คริสต์มาสนั้น" จะตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม จะถือเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองการมาประสูติของพระเยซู และยังเป็นวันที่เด็กๆ ต่างรอเปิดของขวัญจากซานต้าคลอสอีกด้วย