svasdssvasds
เนชั่นทีวี

lifestyle1

Work-Life Balance ทำงานน้อยลง แต่ประสิทธิภาพงานไม่ลดลงจริงหรือ?

ผลวิจัยล่าสุดชี้ชัดชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยทั่วโลกลดลง 37 นาที หลังผู้คนเริ่มตระหนักเรื่องการสร้างสมดุลให้ชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) อยากรู้หรือไม่ คนไทยทำงานอยู่ในอันดับเท่าไหร่ของโลก!!

งานวิจัยที่จัดทำโดย ActivTrak (แอ็กทีฟ แทร็ก) บริษัทสัญชาติอเมริกันที่พัฒนาซอฟต์แวร์ติดตามการทำงานของพนักงานให้กับองค์กรต่างๆ โดยวิเคราะห์ข้อมูลชั่วโมงการทำงานกว่า 38 ล้านชั่วโมง ของลูกจ้าง 134,000 คนทั่วโลก ในหลากหลายสายอาชีพ ทั้งสายการเงิน สาธารณสุข ประกันชีวิต และสายบริการ ได้ผลออกมาว่า ในปีทีผ่านมาชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยทั่วโลกลดลง 37 นาที และจำนวนคนทำงานล่วงเวลาก็ลดลงด้วย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าบรรดานายจ้างเริ่มตระหนักเรื่อง Work-Life Balance หรือสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานมากขึ้นในยุคหลังโควิด

หนึ่งในเรื่องที่น่ายินดีทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างที่ได้จากผลสำรวจนี้คือ แม้พนักงานจะใช้เวลาในการทำงานลดลง แต่ผลวิจัยชี้ชัดว่าประสิทธิภาพในการทำงาน (Productivity) ไม่ได้ลดตามไปด้วย

กาเบรียลา เมาช์ รองประธานศูนย์ข้อมูลของ ActivTrak เผยว่า เวลาทำงานที่ลดลงอาจสะท้อนว่าบริษัทต่างๆ เริ่มฟังเสียงของพนักงานที่ร้องขอความช่วยเหลือ หลังต้องต่อสู้กับภาวะหมดไฟในการทำงาน นอกจากนี้ ผลวิจัยยังพบว่าจำนวนลูกจ้างที่ถูกใช้งานอย่างหนัก หรือมักต้องทำงานเกินเวลางานปกติ ลดลงจาก 32% ในปีก่อนหน้า เหลือ 28% ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลดีกับสุขภาพกาย สุขภาพจิต และสุขภาพทางการเงินของลูกจ้าง อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกยังมีพนักงานเกือบ 1 ใน 3 ที่ยังต้องทำงานเกินวันละ 10 ชั่วโมงต่อไป

Work-Life Balance ทำงานน้อยลง แต่ประสิทธิภาพงานไม่ลดลงจริงหรือ?

คนไทยทำงานหนัก เฉลี่ยวันละ 9.2 ชั่วโมง ติดท็อป 5 ของโลก

“กรุงเทพฯ ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว” สโลแกนที่หลายคนยิ้มมุมปาก อาจเป็นแค่ “ฝัน” เพราะปีที่ผ่านมา Getkisi เผยการจัดอันดับ Most Overworked Cities หรือเมืองที่คนทำงานหนักเกินไป พบว่า ดูไบ ขึ้นอันดับ 1 ส่วนกรุงเทพฯ ได้อันดับ 5 โดยพบว่า 15.10% ของพนักงานประจำทำงานล่วงเวลามากกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

โพลสำรวจนี้ถูกเปิดเผยราวกลางปี 2022 โดย getkisi.com ผู้ให้บริการเข้าถึงข้อมูลผ่าน Internet of Things (IOT) เผยผลการศึกษาเมืองที่ดีที่สุดเพื่อความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน หรือ Best Cities for Work-Life Balance in 2022 โดยมีกรุงเทพฯ ของประเทศไทยอยู่ในอันดับเกือบจะรั้งท้าย

จากผลสำรวจพบว่าเมืองที่มี Work-Life Balance ดีที่สุดในโลก 7 อันดับแรกได้แก่

  1. เมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์
  2. กรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  3. กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์
  4. นครซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  5. กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
  6. เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  7. เมืองออตตาวา ประเทศแคนาดา

เมืองที่จัดได้ว่ามี Work-Life Balance ที่แย่ที่สุด 7 อันดับ ได้แก่

  1. เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้
  2. ดูไบ ประเทศหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
  3. กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
  4. เซาเปาโล ประเทศบราซิล
  5. กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
  6. เมืองบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
  7. เมืองมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย

จากโพลสำรวจจะเห็นได้ว่ามีเพียงแค่ 2 ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กรุงเทพฯ และกัวลาลัมเปอร์เท่านั้น ที่ติดอันดับเมืองที่คนทำงานหนัก โดยในประเทศไทยพบว่ามีพนักงานออฟฟิศทำงานล่วงเวลามากถึง 15.10% หรือประมาณ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เฉลี่ย 9.2 ชั่วโมง/วัน ขณะเดียวกันยังพบว่ามีหลายเมืองมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเมืองที่มีจำนวนประชากรทำงานล่วงเวลามากขึ้น