จากเสี้ยวของความคิด ที่นำไปสู่ความเพียรพยายามฝึกปรือตัวเอง จนสามารถบันทึกภาพได้ และเพราะการถ่ายภาพ ช่วยบันทึกความทรงจำไว้ได้มาก มากกว่าการบอกเล่าเสียอีกไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมขณะนั้น วิถีชีวิตที่เกิดขึ้น ณ ห้วงเวลานั้น ทำให้เขาผู้นี้กลายเป็นคนหลังกล้องไปโดยไม่ลังเล แม้สภาพร่างกายไม่เอื้อเหมือนคนทั่วไป
ใช่....เรากำลังพูดถึงช่างภาพหนุ่มที่พิการแขนสะพายกล้องถ่ายภาพอยู่แถวสยามสแควร์ คนที่ผ่านไปแถวนั้นอาจจะเคยเห็น ทึ่ง!! เขาทำได้อย่างไร และกว่าจะมาถึงวันนี้....คงไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าใจไม่แกร่งพอ
กวี สุพัง หนุ่มจากเมืองขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ไม่ต่างจากคนอื่นๆ แต่ชีวิตของเขาพลิกผันถ้สเป็นคนทั่วไปอาจจะบอกว่า จากหน้ามือเป็นหลังเท้า สภาพอาจไม่ต่างกันแต่ด้วยจิตใจอันแข็งแกร่ง ทำให้เขายอมรับสภาพตัวตนของเขาได้อย่างน่าชื่นชม
กวีต้องเสียแขน 2 ข้าง และขาอีก 1 ข้าง จากอุบัติเหตุไฟช็อต เมื่ออายุราว 18 ปี ระหว่างทำงานเป็นช่างเฟอร์นิเจอร์แต่ถูกใช้ให้ไปนั่งห้างทาสีตึกสูง ตอนนั้นกวีบอกกับตัวเองว่า พอแล้วเมืองใหญ่ "ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก รอดมาได้แบบหวุดหวิดคิดว่าเท่านี้ก็ดีแล้ว ไม่ได้ตีอกชกตัว ตอนออกจากโรงพยาบาลกลับไปพักฟื้นที่บ้านก็คิดว่า พอแล้ว...เมืองใหญ่"
แล้ววันหนึ่งก็มีคนมาถามว่า จะทำอะไรต่อไป เพราะอายุประมาณ 20 กว่าๆ แล้ว ?? จากคำถามของหลายๆคน ทำให้กวีฉุกคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ อีกครั้ง
การกลับเข้ามาเมืองกรุงอีกครั้ง การเข้ามาในเมืองครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆที่ต้องจากถิ่นฐานบ้านเกิดมา เพื่อแสวงหาจุดหมาย และการทำหาเลี้ยงชีวิต...... "ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลก็ได้ฝึกใช้แขนเทียม ขาเทียม ต้องปรับสภาพร่างกาย แต่พอไปได้สักพักก็รู้ว่าเราใช้ชีวิตได้ คนอื่นมักจะกังวลว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป แต่ก็ไปได้ไม่มีอะไรหนักหนา "
กวีเล่าว่าทุกวันนี้สลับกันไประหว่างการใช้ขาเทียมกับนั่งรถเข็นเนื่องจากแผลไฟไหม้ทำให้ไม่มีผิวหนังหุ้มบริเวณนั้น ถ้าใส่เดินนานๆ ก็ทำให้เป็นแผลถลอกยิ่งถ้าเหงื่อออกก็จะเกิดการเสียดสีได้มาก แขนเทียมก็ใช้เป็นบางช่วงเช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของเขาอีกต่อไป
เมื่อจัดการกับสภาพร่างกายได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เริ่มมีปัญหาใหม่เข้ามาให้เขาแก้เมื่อเจ้านายโยนกล้องมาให้ใช้ตัวหนึ่งเป็นกล้องคอมแพ็ก รุ่น G-12 ของ Canon บอกว่า ให้เอาไปถ่ายรูป
"ผมว่าเจ้านายคงอยากลองดูว่าเราจะทำได้มั้ย เราก็ต้องมาฝึกตั้งแต่ว่าจะจับอย่างไรไม่ให้กล้องร่วง จะจับแบบไหนถึงจะอยู่กดชัตเตอร์ได้ภาพไม่เบลอ พยายามใช้จนรู้จังหวะ จนเข้ากันได้กลับกล้องตัวแรก ด้วยการใช้แขนซ้ายประคองแล้วใช้แขนขวากดชัตเตอร์"
พอใช้เป็นก็เริ่มสนุกใช้อยู่ปีกว่า-สองปี ก็รู้สึกว่ามันไม่ได้อย่างใจแล้วเพราะไปเห็นรูปที่เขาถ่ายด้วยกล้องใหญ่ๆ แล้วรู้สึกว่าภาพสวย สุดท้ายเขาก็ได้ กล้องDSLR รุ่น 700 D ของ Canon มาครอบครองเมื่อ 5-6 เดือนก่อน แน่นอนว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ยากเกินจัดการ
"ตอนแรกก็คิดหนักว่าใช้กล้องใหญ่จะคุ้มมั้ยกับเงินที่เสียไปแต่แล้วก็กัดฟันไปซื้อมา ความแตกต่างเกิดขึ้นทันที น้ำหนักกล้องที่มากขึ้น การโฟกัสภาพต้องพิถีพิถันมากขึ้นรวมถึงการซูมอิน ซุมเอาท์ ที่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมเป็นยางรัดช่วยหมุนและล็อกซูมและตอนนี้กำลังดัดแปลงรถเข็นให้ติดขาตั้งกล้องได้ "
ทุกวันนี้กวีฝึกฝนการถ่ายภาพ ทั้งจากการอ่าน ติดตามคอลัมน์เกี่ยวกับการถ่ายภาพ รวมถึงการเข้าไปดูชมรมมือใหม่หัดถ่ายรูป...ให้ดูสวย ในเฟสบุ๊ค facebook.com/mrapirak ที่คุณฮัท อภิรักษ์ เพียรทอง หนึ่งในLifester ของ Canon ก่อตั้งขึ้น
"ผมไม่ได้เรียนการถ่ายภาพ แต่อาศัยอ่านตามคอลัมน์ ลองผิดลองถูกก็คิดว่าใช้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ใจจริงถึงตอนนี้ก็อยากลองขยับขึ้นมาใช้กล้องฟูลเฟรมสักครั้งเพราะพอเป็นเห็นรูปที่ถ่ายด้วยฟูลเฟรมแล้ว มันคมชัด รู้สึกชอบ แต่กำลังเงินตัวเองไม่ถึง ต้องทำใจ ณ ตอนนี้ " (หัวเราะ)
ทุกวันนี้กวีเป็นช่างภาพประจำทีม เพราะทุกคนลงความเห้ฯว่าถ่ายรูปสวย รวมถึงงาน SiamStreet Fest ครั้งที่ 4 ที่เปิดงานในวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2558 เขากลายเป็นช่างภาพตัวหลักเลยทีเดียว
กวีบอกว่าเขาถ่ายภาพทุกแนว แต่ถ้าให้ชอบจริงๆ จะชอบถ่ายภาพแนว Life street เพราะทำให้เห็นถึงวิถีการดำรงชีพ การใช้ชีวิตของผู้คน สังคม ที่เราสัมผัสได้สิ่งเหล่านี้บ่งบอกอะไรได้หลายอย่างตามยุคตามสมัย เป็นการแสดงความรู้สึกที่ชัดเจนผ่านมาในภาพถ่าย
การถ่ายภาพ ทำให้เขามีโอกาสไปถ่ายภาพต่างหวัด ช่วงเวลาที่เดินทางไปท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ เช่นที่กาญจนบุรี จันทบุรี แต่ที่ประทับใจสุดๆคือทริปล่าสุดที่เดินทางไปคนเดียว เพื่อเยี่ยมพี่ชายซึ่งป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ไปเช่าเกินไป โรงพยาบาลยังไม่เปิดให้เยี่ยมเขาเลยเช่ารถตะเวนถ่ายรูปไปตามที่ต่างๆ
"ผมชอบที่อยุธยามากเลย โดยเฉพาะวัดเก่าแก่ต่างๆ ทำให้เรามองเห็นความเจ็บปวดในอดีตได้อย่างชัดเจนขณะเดียวกันเราก็เห็นถึงความมุ่งมั่นของคนในยุคสร้างบ้านแปงเมืองไปในคราวเดียวกัน"
แม้การใช้ชีวิตทุกวันนี้สำหรับกวี ดูเป็นเรื่องปกติ แต่เขาเองก็ยอมรับว่า มีปม เพราะมันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วจะปฏิเสธไม่ได้แต่เขาไม่คิดจะตีอกชกตัว วอนขอความสงสารหรือโทษนู่นนี่นั่น "สังคมไม่มีอะไรเท่าเทียมกันหมด เป็นความหลากหลายในสังคมเราต้องมองอย่างเข้าใจ แล้วเราจะเหนื่อยกับคนรอบข้างน้อยลง"
กวียังบอกว่าแทนที่จะจะทุกข์ สู้หาเหตุผลที่ทำให้ตัวเขาเหนื่อยน้อยลงจะดีกว่าเพราะวิถีชีวิตของแต่ละคนมีความแตกต่างซึ่งจะต้องหาวิธีทำอย่างไรให้อยู่ในจุดที่สบายใจในความแตกต่างนั้นให้ได้จะดีกว่า
"เหมือนเราเดินเข้าไปในตลาดสด แม่ค้าทุกร้านก็จะเรียกให้เราซื้อแต่เราซื้อของทุกร้านไม่ได้ เราก็ต้องเลือกว่าเราจะซื้อร้านไหน การใช้ชีวิตก็เช่นกันต้องเลือกใช้ให้เรามีความสุข"
และเพราะเป็นคนคิดบวกกวีจึงให้นิยามของคำว่า Lifeter ว่าเป็นการใช้เวลาเก็บเกี่ยวเรื่องดี ลดภาระในชีวิตให้น้อยลง แล้วเติมเต็มเวลาให้กับตัวเองให้ความเจ็บปวดทั้งหลายตกตะกอนไป เขายอมรับว่า ช่วงที่ประสบเหตุใหม่ๆ บางทีก็มีคนมาล้อบ้าง ก็อายแต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไป
"โลกใบนี้ยังมีอะไรที่สวยงาม ความรู้สึกดีๆ สิ่งดีๆ เกิดขึ้นได้ทุกขณะอย่างเราเดินออกจากบ้าน มีคนยิ้มให้ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว บางทีแค่ผีเสื้อและดอกไม้ก็ทำให้เรามีความสุขได้ "
กวียังได้ให้กำลังใจถึงทุกคนที่อาจจะเคยท้อแท้ ท้อถอย ด้วยว่าเราต้องสร้างกำลังให้ตัวเราเองก่อนด้วย เพราะไม่ว่าใครจะให้กำลังใจมากมายแค่ไหนแต่ถ้าตัวเราหมดกำลังใจ ก็จะไม่มีอะไรดีขึ้น หากมีปัญหาก็ต้องค่อยๆ แก้ไปเนื่องจากเราปฏิเสธปัญหาภายนอกไม่ได้ แต่เราจะต้องอยู่กับมันให้ได้
เขาบอกว่า ถ้ามองสังคมไม่ออก รับสภาพไม่ได้ก็มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะเจ็บหนัก และอยู่ลำบาก "ถ้าเราปวดหัว แล้วได้แต่บ่นปวดหัว มันก็ไม่มีทางหายเราต้องกินยาต้องหาหมอ เราถึงจะหายเหมือนวันนี้ถ้ามีคนมาถามผมว่าอยากย้อนเวลากลับไปมั้ย ผมบอกเลยว่าไม่คิด เพราะหากย้อนเวลากลับไปเขาอาจจะทำไม่ได้ดีไปกว่านี้ ในขณะที่ทุกวันนี้ชีวิตลงตัว เลี้ยงดูตัวเองได้เลี้ยงดูพ่อ-แม่ได้บ้าง "
ทุกวันนี้การใช้ชีวิตของกวีค่อนข้างลงตัวและอยู่ตัว ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้ทะยานอยาก แต่ก็ไม่ละทิ้งความฝันที่จะมีอะไรๆเป็นของตัวเอง อย่างเช่น บ้าน รวมไปถึงการเลี้ยงดูพ่อแม่ให้มากกว่านี้ อยากเดินทางท่องเที่ยว ถ่ายภาพเป็นความสุขที่เก็บเกี่ยวได้ในรายทาง เขาบอกว่ามีคนมายุให้เขียนหนังสือ แต่ทุกวันนี้เขาก็เขียนเรื่องราวการเดินทางมีภาพประกอบอยู่แล้ว ในแฟนเพจ Kawee'sPhoto Diary เท่านั้นก็เพียงพอสำหรับเขา ณ วันนี้แล้ว
แม้พิการทางร่างกายหากใจไม่พิการ เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การยกย่อง และนี่เป็นกำลังใจที่เขามอบให้กับทุกคน
ติดตามเรื่องราวของกวีเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊ค facebook.com/kawee.susu แฟนเพจ Kawee's Photo Diary และติดตามถ่ายภาพของเหล่า Lifester ได้ที่ Life.canon.co.th