ถ้อยคำที่บอกเล่าจากหนุ่มอารมณ์ดี วสันต์ วณิชชากร นักถ่ายภาพมืออาชีพ ที่ไม่เพียงแต่เป็นความฝันแต่ยังเลี้ยงปากท้องได้ด้วยธุรกิจเกี่ยวกับการถ่ายภาพ ค่อยๆ ร้อยเรียงเรื่องราวในอดีตก่อนจะมาเป็นทุกวันนี้
ปัจจุบัน วสันต์ทำธุรกิจถ่ายภาพและการพิมพ์มีร้านดิจิตอลแล็ป รับงานถ่ายภาพ ทำแบนเนอร์ งานพิมพ์อิงค์เจ็ท ที่เชี่ยวชาญขนาดขยายสาขาไปถึง3 แห่ง อยู่ในตลาดประจันตคาม 2 แห่ง และทางขึ้นเขาใหญ่ฝั่งปราจีนบุรีอีก 1 แห่ง ขณะเดียวกันก็ยังรับงานเป็นสติงเกอร์ภ่ายภาพให้กับสำนักข่าวต่างประเทศ
งานที่ได้รับมอบหมายส่วนใหญ่ก็ยังเกี่ยวพันกับงานข่าว เช่นถ่ายภาพการชุมนุมงานที่เกี่ยวข้องกับชายแดนประเทศเพื่อนบ้านบ้าง หรืออย่างงานวันชาติไทยใหญ่ก็ไป
ภาพทหารเอื้อมมือมารับดอกกุหลาบจากกลุ่มผู้ชุมนุมท่ามกลางวงลวดหนาม ที่ปรากฏไปตามสื่อต่างๆ ก็มาจากฝีมือการจับภาพอย่างทันท่วงทีของวสันต์และภาพนี้ก็ได้รับ รางวัล 1 ใน 45 ภาพที่ทรงอิทธิพลที่สุด ในปี 2013 ( The 45 MostPowerful Photos of 2013) และเป็น Photo Of The Year ของสำนักข่าว Ap ปี 2013
"ผมว่าช่างภาพทุกคนก็คิดและมีมุมส่วนตัวอย่างภาพมอบดอกกุหลาบนี่มีช่างภาพอู่ตรงนั้น 6 คนแต่จังหวะที่ทหารยื่นมือมารับดอกกุหลาบ มีเสียงกล้องผมดังขึ้นคนเดียว"
วสันต์เล่าว่า ช่วงเวลานั้น รัวไปหลายช็อตแต่มีเพียงภาพเดียวที่จังหวะพอดีที่สุด สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาได้ภาพนี้มาก็คือการมีสมาธิ ที่จะเฝ้ารอภาพที่ต้องการ ตอนนั้นรอนานมาก ม็อบถอยเข้าถอยออกทหารก็เฝ้าระวังและเข้มงวดในระเบียบวินัยมาก รอกันอยู่นานเป็นชั่วโมง แล้วจู่ๆก็มีทหาร ยื่นมือข้ามลวดหนามมารับดอกกุหลาบ และแน่นอนเขาจับภาพนั้นได้ทัน
หลังจากที่ภาพนี้แพร่หลาย มีคนหันมาติดตามผลงานของเขาผ่านทางเฟสบุ๊ค www.facebook.com/wason.wanichakorn มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
จากเด็กหนุ่มที่เรียน ปวช. และปวส.มาทางด้านเทคโนโลยีการถ่ายภาพและการพิมพ์ กระทั่งมาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในคณะวารสารศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ทันทีที่จบการศึกษาก็กระโดดเข้าสู่วงการที่ใฝ่ฝันไว้ นั่นคือการเป็นช่างภาพ ให้กับหนังสือพิมพ์ในเครือเนชั่นท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว เพราะผู้เป็นพ่ออยากให้กลับมาสืบทอดธุรกิจของที่บ้านซึ่งมีทั้งโรงสีและปั๊มน้ำมัน ที่สำคัญ ... พ่อของเขาไม่เชื่อมั่นในอาชีพช่างภาพ
"พ่อผมอายนะที่จะบอกกับญาติๆ หรือใครเขาว่าลูกทำงานเป็นช่างภาพ เพราะพ่อคิดเสมอว่างานช่างภาพก็คือพวกที่ดักถ่ายภาพนักท่องเที่ยวแล้วก็เอาไปขายเขา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่และเราก็ทำงานหนังสือพิมพ์มีชื่อ"
แล้วพ่อก็ปล่อยให้เขาเริงร่าไปกับงานที่ชอบได้ราว3 ปี
"จู่ๆพ่อก็เอาใบมัดจำซื้อเครื่องปริ้นท์ภาพของโกดักมายื่นให้ แล้วก็บอกประมาณว่าถ้าไม่กลับบ้านก็ทิ้งเงินมัดจำนั่นไป จำได้ว่าตอนนั้นเครื่องราคา 3 ล้านกว่าบาท แต่มัดไปไปก็ล้านกว่าบาท" เหมือนเป็นคำขาดที่ทำให้เขาต้องพลิกชีวิตตัวเองไปสู่การทำธุรกิจร้านถ่ายรูป
และไม่คาดคิด ชั่วระยะเปิดร้านได้แค่ 2อาทิตย์ เขาต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้ถึงกันอึ้งไปนาน และทำให้รู้ว่าถึงจะเคยผ่านงานช่างภาพมาก็ไม่ช่วยอะไรเลย งานนี้เจ้าตัวถึงกับเล่าไป หัวเราะไป
"วันแรกที่เปิดร้าน มีลูกค้ามาถ่ายรูป 2 นิ้ว 1 โหล จะไปสมัครเข้าทหาร แต่ผมทำไม่ได้ อัดออกมาได้รูปนิ้วครึ่งเขาก็เอาไป แต่พอตอนเย็นเอารูปมาวางคืน บอกว่าใช้ไม่ได้ แล้วก็เดินไปเงินก็ไม่เอาคืน" วสันต์บอกว่า จริงๆ แล้วมันง่ายมากโทรไปถามเซลล์ ก็หัวเราะ เพราะจริงๆ แล้ว มันง่ายมาก แค่(ถ่ายภาพแนวตั้งแล้ว)อัดภาพออกมาเป็น 4 P ก็ได้รูปขนาด 2 นิ้วแล้ว
และอีกงานที่ทำให้เขาอยู่เฉยไม่ได้ก็คือ มี(ป้าคนหนึ่งมาติดต่อให้ไปถ่ายภาพงานแต่งงานลูกสาวเขา) แต่ด้วยความที่ไม่เคยถ่ายภาพพวกนี้มาก่อนไม่รู้พิธีการอะไร กลัวจะทำได้ไม่ดี เลยบอกปฏิเสธไป (ป้าแก)มองหน้าแล้ว(พูด)สั้นๆ ก่อนเดินจากไป ในขณะที่เขายังอึ้งพูดอะไรไม่ออก..."ไม่รับถ่ายรูปงานแต่ง แล้วมาเปิดร้านถ่ายรูปทำไม"
ความมั่นใจของวสันต์กลับคืนมา เมื่อได้คำพูดเตือนสติเมื่อไปปรึกษากับหัวหน้าเก่า ที่ย้ำว่า (วสันต์คุณเป็นช่างภาพต้องถ่ายได้ทุกอย่าง) เราถ่ายภาพข่าว ภาพเล่าเรื่องเยอะ ก็ต้องเอามาปรับใช้
สุดท้ายเขาก็สามารถผสมผสานระหว่างเครื่องไม้เครื่องมือ เทคโนโลยีที่มี กับฝีมือการถ่ายภาพในมุมมองเขาจนกลายเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า กิจการขยับขยาย
เขามีเวลาเสพสุขกับมันแค่ครึ่งปี ก็เจอบททดสอบใหม่วิกฤติต้มยำกุ้งร้านของเขาก็พลอยได้รับผลกระทบเช่นกัน ตอนนั้นพอประคองไปได้ แต่ที่แย่จริงๆ เป็นช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เมื่อ ยุคดิจิตอล เข้ามาเต็มตัว พฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีการถ่ายภาพเปลี่ยนไปร้านของเขาเองต้องปรับเปลี่ยนด้วยการนำเครื่องดิจิตอลเข้ามาแทนที่เครื่องระบบเก่าเช่นกัน
จากที่ตัวเองเจอบททดสอบที่หนักหน่วงมาแล้วจากความไม่เคยคิด ไม่เคยวางแผนไม่มีการเตรียมตัวที่ดีเพียงพอ ถึงวันนี้ วสันต์ฝากข้อคิดในการทำธุรกิจถ่ายภาพและการพิมพ์ไว้3-4 เรื่อง คือ ต้องเลือกทำเลที่ดี มีความรู้ด้านการถ่ายภาพต้องตามเทคโนโลยีต่างๆให้ทันเพราะมันมาเร็วมาก
นอกจากนี้ ต้องมีเงินทุนถึงๆเนื่องจากอุปกรณ์มีราคาสูง และสำคัญต้องมีฝีมือด้วย เนื่องจากปัจจุบันคนถ่ายภาพได้ง่ายได้สวย ไม่เหมือนสมัยก่อน ที่กว่าจะรู้ว่าภาพนั้นใช้ได้มั้ยก็ต้องนำฟิล์มไปล้างก่อนเดี๋ยวนี้เป็นกล้องดิจิตอล รู้ผลทันที ไม่ชอบก็ถ่ายใหม่ได้เลย และพอมีกล้องดิจิตอลรายได้จากการอัดรูปจะหายไป แต่ร้านของเขาอยู่ได้ เพราะมีจุดแข็งเรื่องการถ่ายภาพที่มีคุณภาพ
จนถึงวันนี้ เขารับมือกับงานได้ทุกอย่างตั้งแต่งานพระราชพิธี จนถึงงานชุมนุมประท้วง
วสันต์บอกว่า ทุกวันนี้ สอนงานให้ลูกน้องในร้านฝึกให้เขาถ่ายรูป จนทำงานแทนได้ พอมีงานมาชนกัน ปล้างก่อน เดี๋ยวนี้เป็นกล้องดิจิตอล รู้ผลทันทีไม่ชอบก็ถ่ายใหม่ได้เลย ีราคาค่อก็ให้ลูกน้องไปถ่ายได้ หรือดูงานร้านในขณะที่ตัวเขาต้องไปรับงานข้างนอกได้
กล้องที่ใช้ประจำชนิดที่ไปไหนไปกัน มี2 ตัวหลัก คือ Cannon 1DX กับ Cannon (1)D Mark IV ล่าสุดเพิ่งถอยตัวใหม่ออกมาคือ Cannon5 DS R
"เริ่มที่ความนิยมชมชอบ ที่บ้านใช้อยู่ พอถึงเราก็ใช้ตาม ชอบที่การออกแบบ มีดีไซด์ การพัฒนาเทคโนโลยีก็เร็วดี"
และแม้จะไปปฏิเสธฝีมือ -มุมมองการถ่ายภาพ แต่เขาก็เห็นว่า อุปกรณ์ที่ดี ก็ช่วยให้ภาพสวยขึ้นและช่วยสร้างความแตกต่างจากภาพคนอื่นๆ ได้
นับจากปี 39ที่วสันต์โดดมาทำธุรกิจร้านถ่ายรูป ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาถึงวันนี้กิจการเริ่มอยู่ตัว อย่างน้อยในตลาดประจันตคามของเขาก็ไร้คู่แข่งงานสติงเกอร์ถ่ายภาพก็ไปได้ดีและยังมีเวลาว่างให้กับชีวิต ในการเลือกเดินทางท่องเที่ยว เพื่อถ่ายภาพในมุมมองที่ชอบคือภาพแนวสารคดี ภาพชีวิต ที่ออกมาในแนวแคนดิต
"ผมไม่ชอบมากๆ คือการถ่ายภาพที่ต้องจัดฉากยิ่งงานพรีเวดดิ้ง จะไม่รับเลย ให้ไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้งผมเครียดมากกว่าให้ไปถ่ายภาพม็อบซะอีก"
วสันต์บอกเล่าถึงแนวภาพของเขาส่วนหนึ่งเนื่องมาจากความคลุกคลีกับการถ่ายภาพข่าว การจับจังหวะ และหาความแปลกใหม่ให้กับภาพของเขาเสมอและนั่นกลายเป็นสไตล์การถ่ายภาพของเขาไปแล้ว
"บางครั้งกำลังไปถ่ายรูปแสงสุดท้ายเจอหมาผ่านมา ก็ตามถ่ายหมาไปเลย แต่ยังให้อยู่ในอารมณ์ของแสงทไวไลน์ จนเดี๋ยวนี้คนที่ติดตามผลงานรู้แล้วว่าถ้าเราไป ต้องมีรูปแบบไหน และรูปแบบไหนที่เราจะไม่พลาด"
จาก Lifestyle ของเขานี่เองกลายมาเป็นนิยามของความเป็น Lifester ของเขาคือการถ่ายทอดความรู้สึก สิ่งที่มองเห็น ออกมาเป็นภาพถ่ายสื่อให้คนภายนอกได้รับรู้ว่าช่วงนั้น เวลานั้น มีอะไรเกิดขึ้นบ้างเหมือนเช่นที่ไปเมืองทวาย ของพม่า จะเห็นการเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของผู้คนหลังจากที่มีโครงการท่าเรือน้ำลึก ก็จะสื่อตรงนั้นออกมาเป็นการรายงานความเป็นอยู่ผ่านภาพถ่ายเล่าเรื่องด้วยภาพ
ไอดอลของเขา ไม่ใช่ใครอื่นทวีชัย เจาวัฒนา และ จรูญ ทองนวล อดีตหัวหน้างาน และเพื่อนร่วมงานถ่ายภาพของเขานี่เองซึ่งเขาบอกว่า ชื่นชอบแนวทางการถ่ายภาพ และยังเป็นคนสอนงานให้ แต่ถ้าเป็นเรื่องงานพิธีรับรองว่าเขากินขาด
วสันต์ยังฝากไปถึงคนที่จะเข้ามาสู่วงการถ่ายภาพด้วยว่าต้องมีความรับผิดชอบ ภาพดีๆที่เห็นมานั้นล้วนแล้วต้องอาศัยความอดทน ในการเฝ้ารอและมีความเอาใจใส่ เพื่อให้ได้ภาพนั้นๆ มา(สำคัญที่สุดอันดับแรกคือการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ตรงจุดที่จะได้ภาพ)
จากผลของการเรียนรู้ อดทน และเอาใจใส่นี่เองวสันต์พิสูจน์แล้วว่ามันได้ผล ภาพของเขาหลายภาพได้รับรางวัล และยังทำให้พ่อของเขาหันมายอมรับและเข้าใจในงานถ่ายภาพของเขามากขึ้น
วันนี้ วสันต์ยังสนุกกับงานถ่ายภาพและการเดินทาง แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เขา อาจจะต้องเดินตามฝันของพ่อ แม้มันจะยังไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำในวันนี้ก็ตาม
______________________________________________________
ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ผ่านภาพถ่าย www.canonlife.com