การกระทำของ นริศร มีผู้ยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการเอาผิด เนื่องจากมีพฤติการณ์เข้าข่ายความผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 123 และ 123/1 รวมถึงจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหน้าที่นั้น ๆ ทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่งเช่นที่ว่า แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ทำให้การลงคะแนนเสียงถูกบิดเบือน
เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นิวัติไชย เกษมมงคล เปิดเผยพฤติการณ์คดีนี้ว่า ปี 2556 สภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. …. หรือที่รู้จักกันในชื่อ ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท
นริศร ทองธิราช เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ทำการเสียบบัตรแทน ส.ส. คนอื่น ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ฯ ในวาระที่สอง จนมีการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อประธานรัฐสภา เพื่อร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยให้ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ฯ ดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อไต่สวน
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายนริศร ทองธิราช ในข้อกล่าวหาเสียบบัตรแสดงตนในเครื่องคนอื่น และดึงออกมาเสียบใหม่ จึงเข้าข่ายมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 123 และ 123/1 รวมถึงจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และทำให้ผู้อื่นเชื่อว่า มีตำแหน่งหน้าที่นั้น ๆ ทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่งเช่นที่ว่า แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ทำให้การลงคะแนนเสียงถูกบิดเบือน
เมื่อปลายปี 2559 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดทางอาญา และถอดถอน นริศร จากพฤติกรรมของ นริศร ที่จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง แสวงหาประโยชน์ เพื่อให้ที่ประชุมแก้ไขที่มา ส.ว. และเห็นชอบปิดอภิปรายเพื่อนำไปสู่การเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมเรื่องที่มาของ ส.ว. ส่งผลให้การออกเสียงลงคะแนนเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว.ไม่เป็นไปตามเจตนารมที่แท้จริง และเป็นกระบวนการที่มิชอบ
กรรมการ ป.ป.ช. สุภา ปิยะจิตติ แถลงต่อ สนช. เมื่อ 28 ตุลาคม 2559 เพื่อดำเนินการกระบวนการถอดถอน นริศร ทองธิราช ออกจากตำแหน่ง โดยหักล้างข้ออ้างของ นริศร ทีละประเด็น
สำหรับข้ออ้างว่ามีการตัดต่อคลิปที่เป็นหลักฐานดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ได้ส่งให้พิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบและยืนยันว่าไม่มีการตัดต่อคลิป
สำหรับข้ออ้างที่ว่า มีบัตรหลายใบเพราะทำบัตรสำรองไว้ แต่เมื่อตรวจสอบกับกลุ่มงานบริหารทั่วไป สำนักงานการประชุม ได้รับคำชี้แจงว่า ส.ส.จะมีบัตร 3 ใบ คือ 1. บัตรจริงที่มีรูปถ่าย มีเลขประจำตัว มีกรุ๊ปเลือด และชื่อพรรค 2.บัตรลงคะแนนไม่มีรูป มีแต่ชื่อและพรรคการเมือง 3. บัตรลงคะแนนพิเศษ หรือเอสพี ไม่มีรูป ไม่มีชื่อ มีเพียงเลขประจำตัวและพรรคการเมือง ทั้งสองใบ จะฝากไว้ที่กลุ่มงานบริหารทั่วไป หากสมาชิกจะขอใช้เนื่องจากลืมบัตรจริง จะต้องไปเขียนคำร้องขอใช้บัตรและเมื่อใช้เสร็จแล้วต้องนำไปคืน
คลิปที่มีการบันทึกภาพในวันลงคะแนนเมื่อปี 2556 ที่มี อดีต ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ รังสิมา รอดรัศมี นำมาแสดงนั้น บัตรที่ นริศร นำมาลงคะแนนทั้ง 3 ใบ เป็นบัตรจริงทั้งหมด เนื่องจากมีรูปสมาชิกชัดเจน คำชี้แจงของ นริศร ไม่น่าเชื่อถือ และไม่อาจรับฟังได้ ประกอบกับรัฐสภา ไม่เคยออกบัตรใหม่ให้นริศร และการลงมติถือเป็นเอกสิทธิ์เด็ดขาด สมาชิกหนึ่งคนจะลงมติได้เพียงครั้งเดียว รวมทั้งประจักษ์พยานอื่นที่มาเบิกความประกอบกับภาพถ่าย มีสมาชิกรัฐสภาหลายคนไม่ได้มาออกเสียงลงคะแนน แต่ได้มอบหมายให้สมาชิกบางคนมาออกเสียงแทน
ขณะที่ข้อกล่าวอ้างว่า นริศร เคยผ่านการผ่าตัดลิ้นลิ้นหัวใจรั่วมาแล้ว ทำให้เป็นคนอยู่เฉยๆ ไม่ได้นั้นก็รับฟังไม่ขึ้น
ทั้งหมดนี้นำมาสู่การชี้มูลของกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อเอาผิดทางอาญา กับอดีตส.ส.สกลนคร
เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นิวัติไชย เกษมมงคล เปิดเผยว่า การที่ นริศร ออกเสียงแทนกับ ในร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 วินิจฉัยว่า การกระทำของ นริศร เป็นการใช้สิทธิเกินมาตรา 123 และเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพราะสิทธิหนึ่งเสียง ทำหน้าที่เพียงหนึ่งเสียง แต่ในคลิป นริศร ใช้สิทธิถึง 3 เสียง และมีมูลส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 68 มาตรา 122 มาตรา 123 มาตรา 126
คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติว่าเป็นการกระทำผิดทางอาญา หาผลประโยชน์โดยไม่ชอบ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ป.ป.ช.ได้ส่งสํานวนให้อัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด