"โอมิครอน" มีจุดกำเนิดที่จังหวัดหนึ่ง ในประเทศแอฟริกาใต้ โดยก่อนหน้านี้จังหวัดดังกล่าว มีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้ามาก่อน และเริ่มจางหายไป จนกระทั่งเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประชากรในจังหวัดติดโควิดถึง 3-4 เท่าตัว นักวิทยาศาสตร์จึงมีการถอดรหัสพันธุ์กรรมไวรัสชนิดนี้ จนพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่สายพันธุ์เดลต้า แต่กลับกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่
และสิ่งที่น่าตกใจไปมากกว่านั้น นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยเจอลักษณะการเปลี่ยนแปลงไวรัสชนิดนี้มาก่อน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญ ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ไวรัสจะเข้าสู่เซลล์
หลายคนสงสัยว่าไวรัสชนิดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์มีการวิเคราะห์ทฤษฎีขึ้นมา 2 ทฤษฎี ทั้งการเกิดขึ้นได้จากผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือหลุดจากห้องแลป
โดยพบการเปลี่ยนแปลงของตัวหนามถึง 32 ตำแหน่งพร้อมกัน ถือว่ามีจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติ โดยหลักการเปลี่ยนแปลงของไวรัสจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ เดือนหนึ่งอย่างมาก 2 ตำแหน่งเท่านั้น
คำถามที่ตามมา วัคซีนที่ฉีดให้กับคนไทยอยู่ในขณะนี้จะสามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์ไอมิครอนได้หรือไม่ นักไวรัสวิทยา ให้ข้อมูลว่า สายพันธุ์ไอมิครอน กับสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งยังคงเป็นสายพันธุ์หลัก เป็นไวรัสที่แตกต่างกัน การจะฉีดวัคซีนป้องกันก็จะเป็นวัคซีนคนละชนิดกันหรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้นักวิทยาศาสตร์จะต้องศึกษาวิจัย ว่าวัคซีนที่ใช้ฉีดอยู่ในปัจจุบันจะต้องมีการผสมรวมกันของ 2 สายพันธุ์นี้หรือไม่อย่างไร ซึ่งถือว่ายังเป็นเรื่องใหม่
เบื้องต้นไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ยังคงหลบภูมิได้ดี ถึงแม้ประชากรส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนไปแล้ว แต่มีโอกาสติดเชื้อสายพันธุ์ไอมิครอนได้ง่ายกว่าสายพันธุ์เดลต้า
เนื่องจากสายพันธุ์เดลต้า ไม่สามารถข้ามกำแพงภูมิคุ้มกันมาได้ เพราะมีการฉีดวัคซีนไปแล้ว
แต่สายพันธุ์ไอมิครอน หนีภูมิคุ้มกันได้ เพราะไม่มีอะไรมาหยุดยั้ง เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าสายพันธุ์โอมิครอน นำสายพันธุ์เดลต้าได้ แต่สายพันธุ์เดลต้าอาจจะรุนแรงกว่า
ทีมวิจัยสวทช. กำลังเร่งทำการศึกษาการกลายพันธุ์ของโอมิครอน โดยการสร้างไวรัสจำลองขึ้นมา เพื่อทำการทดลองกับวัคซีนที่ใช้อยู่ในประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีการตรวจพบไวรัสชนิดนี้ จึงต้องทำการตรวจสอบหาพันธุกรรมว่าไวรัสมีความรุนแรงเพียงใด สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดีแค่ไหน โดยระยะนี้การป้องกันตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโควิด19
โอมิครอน จะเป็นจุดเสี่ยงใหม่ที่จะเกิดการระบาดครั้งใหญ่อีกระลอกหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องจับตาหลังจากนี้ โดยเฉพาะผู้ผลิตวัคซีนหลายค่ายออกมาเคลื่อนไหว ล่าสุด สเตฟาน บันเซล ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารของ Moderna มองว่าประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์นี้จะไม่เท่ากับ สายพันธุ์เดลตา
และคิดว่าประสิทธิภาพจะลดลง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายเดือน จึงจะสามารถผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้อย่างเพียงพอ
ขณะที่โฆษกของแอสตราเซเนกา บอกว่าขณะนี้ บริษัทกำลังทำการวิจัยในประเทศบอตสวานา เพื่อรวบรวมข้อมูลไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากโลกจริงไปเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพวัคซีนของบริษัท อีกทั้ง ยังได้นำยาแอนติบอดีชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ มาทดสอบใช้กับสายพันธุ์โอไมครอนอีกด้วย
ด้านบริษัทไฟเซอร์-ไบออนเทค เปิดเผยว่ากำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบประสิทธิภาพวัคซีนกับสายพันธุ์โอไมครอน คาดว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
ส่วนบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ด้านโฆษกยืนยันว่า กำลังอยู่ระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนกับสายพันธุ์โอไมครอนเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าคนที่รับวัคซีนครบแล้ว ก็สามารถติดเชื้อโอมิครอนได้ง่ายกว่าปกติ
คำถามต่อมาคือติดเชื้อแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ จะหายป่วยไวหรือไม่ ถ้าหายป่วยไวก็เป็นสิ่งที่ไม่ต้องกังวลมาก แต่บางคนติดเชื้อแล้วอาการหนัก ก็จะต้องเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์จะต้องศึกษาต่อไป กับอีกหนึ่งประเด็นที่รัฐบาลควรจะทบทวน คือเรื่องการเปิด-ปิดประเทศ รวมถึง การเพิ่มมาตรการการกักตัว เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน