svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

รู้หรือไม่? "ไข้เลือดออก" ภัยร้ายคร่าชีวิต ป้องกันได้ด้วย "วัคซีน"

รู้หรือไม่ "โรคไข้เลือดออก" เป็นโรคร้ายที่ทุกคนคาดไม่ถึง ล่าสุด "น้องวิ" ภิญญ์วดี ภูวรุ่งเรืองหิรัญ น้องสาวของ "กุ้ง สุธิราช" ล้มป่วยโรคไข้เลือดออกชนิดรุนแรง อยู่ในขั้นวิกฤต อย่างไรก็ตามเราสามารถลดความเสี่ยงจากไข้เลือดออกได้จากวัคซีน

ทำความรู้จักไข้เลือดออกเดงกี
เชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์จะถูกเรียกว่าซีโรไทป์ (Serotype) ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 DENV-4 

พาหะนำโรคสำคัญ คือ ยุงลายที่มีเชื้อไวรัสเดงกี เมื่อกัดแล้วจะถ่ายทอดเชื้อทันที สิ่งที่ต้องจำไว้คือ ยุงลายกินเลือดตอนกลางวัน ยิ่งถ้ามีน้ำขังแบบนิ่ง ยุงลายพร้อมวางไข่ทุกเมื่อ แม้ยุงลายจะมีอายุเพียง 7 วัน แต่ยุงลายพบมากในชุมชนและบ้านคนมากที่สุด โอกาสที่จะได้รับเชื้อไวรัสเดงกีจึงเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

ส่วนใหญ่แล้วไข้เลือดออกเดงกีมักไม่มีอาการแสดง หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่ในบางรายอาจจะมีอาการรุนแรง จนถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้ และเป็นโรคที่คาดเดาได้ยากว่าใครจะอาการรุนแรงหรือไม่รุนแรง

เชื้อไวรัสไข้เลือดออกทั้ง 4 สายพันธุ์จะเกิดการแพร่ระบาดสลับหมุนเวียนกัน ทำให้ในแต่ละปีมีสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามพบว่าสายพันธุ์ที่ระบาดหลักในประเทศไทยนั้น เป็นสายพันธุ์ 1 และ 2 การแพร่ระบาดที่แตกต่างกันหลายสายพันธุ์จึงเป็นผลให้คนเราอาจไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดนั้นๆ 

การติดเชื้อไวรัสเดงกีชนิดหนึ่ง ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสเดงกีแค่ชนิดที่ติดเท่านั้น แต่ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นอาจจะป้องกันสายพันธุ์อื่น ๆ ได้ในชั่วคราว ทำให้ตลอดชีวิตของเราสามารถที่จะติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีได้มากกว่า 1 ครั้งนั่นเอง
ยุงลาย พาหะน้ำเชื้อโรค ไข้เลือดออก

การติดเชื้อซ้ำอาจทำให้อาการรุนแรงมากกว่าเดิม
หากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีครั้งที่ 2 เกิดจากสายพันธุ์ชนิดที่แตกต่างจากเดิม อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแสดงอาการที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากว่าการติดเชื้อซ้ำในครั้งที่ 2 จะเกิดการกระตุ้นภูมิต้านทานของการติดเชื้อในครั้งก่อนแต่เป็นภูมิต้านทานชนิดที่ไม่สามารถป้องกันโรคได้

รวมทั้งทำให้เชื้อไวรัสไข้เลือดออกสามารถกระจายตัวได้มากขึ้น ทำให้มีอาการรุนแรงได้มากขึ้น จึงเป็นผลให้การติดเชื้อในครั้งที่ 2 มีอาการรุนแรงมากกว่าเดิม

ไข้เลือดออก ติดได้ ไม่เลือกคน โดยมี ยุงลาย คือพาหะนำโรคไข้เลือดออกเดงกี ซึ่งมักจะอาศัยอยู่ในสภาพอากาศอบอุ่น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือตามหมู่บ้านหากมีคนอาศัยอยู่ ยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคก็สามารถเจริญเติบโตได้ ซึ่งหมายความว่าเราทุกคนมีโอกาสติดเชื้อไข้เลือดออกเดงกีได้ตลอดเวลา

ทำไมไข้เลือดออก จึงเพิ่มมากขึ้น?
การระบาดของไข้เลือดออกในประเทศไทย อาการของไข้เลือดออกเดงกี เทียบกับอาการของโรคอื่น โรคไข้เลือดออกเดงกี โรคชิคุนกุนยา โรคมาลาเรีย โรคไข้ซิก้า หรือโรคอื่น ๆ ที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น หวัด หรือแม้กระทั่งโรคโควิด-19 อาจทำให้เราเกิดความสับสนเกี่ยวกับอาการของโรคได้ 

โรคไข้เลือดออกเดงกี โรคชิคุนกุนยา โรคไข้ซิก้า เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มียุงชนิดเดียวกันเป็นพาหะ ซึ่งมักจะกัดเราในเวลากลางวัน  ในขณะที่โรคมาลาเรียเองก็มียุงเป็นพาหะ แต่เกิดจากเชื้อปรสิต ซึ่งโรคเหล่านี้ทำให้เกิดอาการต่างๆ ขึ้นมากมาย รวมไปถึง อาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และปวดข้อ ซึ่งไข้หวัดและโรคโควิด-19 ก็อาจทำให้เกิดอาการเหล่านี้ในระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม อาการอื่น ๆ ของโรคโควิด-19 ก็มีความแตกต่างออกไปจากการติดเชื้อไข้เลือดออกเดงกี นั่นก็คือ อาการไอ หายใจหอบ สูญเสียการรับรู้รสหรือกลิ่น เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล และท้องเสีย และที่สำคัญคือยุงไม่ใช่พาหะนำโรคที่ก่อให้เกิดหวัด หรือโรคโควิด-19 หากแต่เกิดจากการสัมผัสบุคคลที่มีเชื้อไวรัส

จากข้อมูลข้างต้น แม้โรคเหล่านี้จะมีอาการแสดงที่เหมือนกัน แต่ความรุนแรงก็แตกต่างกันไปในแต่ละโรค ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่เราจะวินิจฉัยโรคด้วยตัวเอง หากเรามีอาการเหล่านี้และคิดว่าอาจเป็นไข้เลือดออกเดงกี ให้รีบปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการตรวจยืนยันว่าเป็นไข้เลือดออกเดงกีหรือเกิดจากโรคอื่น เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม
รู้หรือไม่? "ไข้เลือดออก" ภัยร้ายคร่าชีวิต ป้องกันได้ด้วย "วัคซีน"
ป้องกันโรคไข้เลือดออก
การป้องกัน สามารถ 3 วิธีหลัก ๆ ในการป้องกันโรคไข้เลือดออก ได้แก่

  • 1. เลี่ยงยุงลายกัด ใช้ยากันยุงประเภทต่าง ๆ ติดมุ้งลวด ใช้มุ้งกันยุงในห้องนอนแบบมิดชิด
  • 2. ปราบยุงลาย ฉีดยาฆ่ายุงภายในบ้าน หากเป็นสถานที่คนหมู่มากอาจพ่นสารเคมีหรือหมอกควัน
  • 3. กำจัดลูกน้ำยุงลาย อันดับแรกสำรวจภาชนะที่มีน้ำขังภายในบ้าน อาทิ กระป๋อง กระถางต้นไม้ ตุ่ม โอ่ง จากนั้นคว่ำภาชนะหรือเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ

ไข้เลือดออก ป้องกันได้ด้วยวัคซีน
วัคซีนไข้เลือดออก ในปัจจุบันสามารถฉีดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่  ที่มีอายุระหว่าง 4-60 ปี วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกจากทุกสายพันธุ์ ได้  80.2% และป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้  90.4%

วัคซีนไข้เลือดออกในประเทศไทย ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1. วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม (Dengvaxia) เป็นวัคซีนไข้เลือดออกชนิดแรกที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ใน 21 ประเทศทั่วโลก และเป็นวัคซีนไข้เลือดออกชนิดเดียวที่ได้รับการอนุมัติโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา USFDA

  • ชนิดของวัคซีน : วัคซีนเดงวาเซีย (Dengvaxia) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ ผลิตโดยบริษัท ซาโนฟี ปาสเตอร์ จำกัด โดยไวรัสที่อ่อนฤทธิ์ในวัคซีนจะเข้าไปแบ่งตัวและกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ
  • การฉีดวัคซีน : จะฉีดบริเวณต้นแขน ห่างกันเข็มละ 6 เดือน เมื่อฉีดครบ 3 เข็ม จะป้องกันไข้เลือดออกได้เป็นระยะเวลา 5-6 ปี
  • ประสิทธิภาพ : ป้องกันเชื้อไวรัสไข้เลือดออกทั้ง 4 สายพันธุ์ได้ 80% ลดความรุนแรงของโรคได้ 80% และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 75%

วัคซีนเดงวาเซีย (Dengvaxia) เหมาะสำหรับ ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นไข้เลือดออกมาก่อน ในผู้ที่ไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน แนะนำให้ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนรับวัคซีน สามารถใช้ในผู้ที่มีอายุ  6-45 ปี ฉีด 3 เข็ม ห่างกันเข็มละ 6 เดือน 

2. วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม (QDenga) เป็นวัคซีนไข้เลือดออกตัวล่าสุด ที่พัฒนาโดยใช้ Backbone ของไข้เลือดออกสายพันธุ์ที่ 2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดมากที่สุดในประเทศไทย
ชนิดของวัคซีน : วัคซีนคิวเดงกา (Qdenga) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ ผลิตและนำเข้ามาจากประเทศเยอรมนี โดยไวรัสที่อ่อนฤทธิ์ในวัคซีนจะเข้าไปแบ่งตัวและกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ

  • การฉีดวัคซีน : จะฉีดบริเวณต้นแขน ห่างกันเข็มละ 3 เดือน
  • ประสิทธิภาพ : ป้องกันเชื้อไวรัสไข้เลือดออกทั้ง 4 สายพันธุ์ได้ 80% ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล และลดความรุนแรงของโรคได้ 90.4%

วัคซีนคิวเดงกา (Qdenga) สามารถฉีดได้ทั้งผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน ไม่จำเป็นต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนการรับวัคซีน สามารถใช้ในผู้ที่มีอายุ 4-60 ปี ฉีด 2 เข็ม ห่างกันเข็มละ 3 เดือน

อย่างไรก็ตาม ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีนไข้เลือดออก โดยหลีกเลี่ยงการเข้ารับวัคซีนขณะมีไข้ หรือไม่สบาย หลีกเลี่ยงการเข้ารับวัคซีนขณะตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างการให้นมบุตร แนะนำให้เว้นระยะห่างจากการฉีดวัคซีนเชื้อเป็นอื่นๆ อย่างน้อย 4 สัปดาห์ อาการข้างเคียงที่พบได้คือ ปวด ห้อเลือด บวมและคันบริเวณที่ฉีด ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหัว มีไข้ต่ำๆ
รู้หรือไม่? "ไข้เลือดออก" ภัยร้ายคร่าชีวิต ป้องกันได้ด้วย "วัคซีน"