
อัพเดทอาการล่าสุดของ บรูซ วิลลิส นักแสดงชื่อดังวัย 68 ปี ภายหลังมีภาวะ “อะเฟเซีย (Aphasia)” หรือภาวะบกพร่องด้านการสื่อสาร ที่เกิดจากสมองส่วนหน้าเสื่อม (Frontotemporal Dementia) ซึ่งขณะนี้อาการของนักแสดงชื่อดังแย่ลงจนเขาสูญเสียความสามารถในการสื่อสาร (อ่านรายละเอียดใน บรูซ วิลลิส สื่อสารไม่ได้แล้ว จากโรคสมองเสื่อมส่วนหน้า)
สำหรับกลุ่มโรคสมองเสื่อม แบ่งเป็นชนิดย่อยอีกหลายชนิด ที่เราจะโฟกัสในวันนี้คือ โรคสมองส่วนหน้าเสื่อม (Frontotemporal dementia) ที่ส่งผลออกมาต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ที่พบมากคือ ชนิดพฤติกรรม (Behavioral Varient) ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรม และบุคลิคเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างค่อยเป็นค่อยไป มากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาหลายปี จนบางคนอาจจะเหมือนไม่ใช่คนคนเดิม และผู้ป่วย FTD ชนิดภาษา (Language Varient) ที่จะมีอาการเด่นเรื่องการใช้ภาษา คำพูด จะบกพร่องจากเดิม นึกคำไม่ออก พูดตะกุกตะกัก แต่ความคิดความจำ ละการทำงานสมองด้านอื่นจะยังไม่เปลี่ยน ทั้งนี้ FTD อาจพบอาการร่วม ทั้งสมองเสื่อมและเส้นประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อมด้วย (FTD-ALS) ทำให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวลำบาก มีอาการเกร็ง อ่อนแรง ลิ้นแข็ง การกลืนผิดปกติ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ลักษณะสำคัญของ FTD ที่ต่างจากอัลไซเมอร์ คือผู้ป่วยจะไม่ค่อยมีอาการหลงลืมตั้งแต่แรกๆ
กรมการแพทย์ โดยสถาบันประสาทวิทยา แนะโรคสมองส่วนหน้าเสื่อมคือภาวะที่มีการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทบริเวณสมองส่วนหน้า เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคสมองเสื่อม ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมและการใช้ภาษาของผู้ป่วย
โรคสมองส่วนหน้าเสื่อม เป็นโรคที่มีการฝ่อของสมองส่วนที่อยู่ด้านหน้า โดยประกอบไปด้วยสมองกลีบหน้า (Frontal Lobe) และสมองกลีบข้างส่วนหน้า (Anterior Temporal Lobe) มีการเสื่อมถอยลงไป ซึ่งจะมีความแตกต่างจากสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์ ที่มักจะมีการฝ่อที่สมองด้านหลัง สาเหตุการฝ่อเกิดจากการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมอง ถ้ามีการสร้างโปรตีนที่ผิดปกติมากเกินไปหรือกลไกของร่างกายกำจัดได้ไม่ทัน จะทำให้เซลล์สมองเสียหายจนเกิดสมองฝ่อตามมา
สำหรับโรคสมองส่วนหน้าเสื่อม เป็นโรคที่พบไม่บ่อย ซึ่งพบน้อยกว่าโรคอัลไซเมอร์ ส่วนมากอยู่ในช่วงอายุประมาณ 45-65 ปี โดยพบได้พอกันในเพศชายและหญิง แบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลัก คือ
1.ชนิดปัญหาพฤติกรรมเด่น ซึ่งจะเด่นที่ปัญหาด้านพฤติกรรม การไม่สามารถยับยั้งชั่งใจควบคุมตนเองได้ แสดงออกทางพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ มีพฤติกรรมทำอะไรซ้ำๆ ไม่มีจุดหมาย และสูญเสียความสามารถในการวางแผนการทำงาน
2. ชนิดปัญหาด้านการใช้ภาษาเด่น ซึ่งจะเด่นปัญหาในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ผู้ป่วยจะมีปัญหานึกคำพูดไม่ออก อาจพูดติดขัดตะกุกตะกัก หรืออาจถึงขั้นสูญเสียความรู้ความหมายของคำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อตัวโรคดำเนินไป สุดท้ายจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การเข้าสังคม และการทำงานเป็นอย่างมาก อาจถึงขั้นไม่สามารถพูดคุยสื่อสารทำความเข้าใจได้เลย ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และโดยเฉลี่ยอาจเสียชีวิตในเวลาประมาณ 7-8 ปี
การวินิจฉัยในปัจจุบัน เน้นการประเมินอาการเป็นสำคัญ ซึ่งผู้ป่วยมักจะไม่ทราบว่าตนเองมีอาการผิดปกติ ญาติหรือผู้ดูแลใกล้ชิดจึงเป็นส่วนสำคัญในการพาผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษา หากสังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์สถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อประเมิน ส่วนที่ยากที่สุดคืออาการของผู้ป่วยมักคล้ายกับอาการของโรคทางจิตเวช ทำให้พลาดการวินิจฉัยโรคสมองเสื่อมไป
ปัจจุบันโรคนี้ยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาด จึงเน้นการรักษาตามอาการและประคับประคองให้ผู้ป่วยยังช่วยเหลือตนเอง ญาติสามารถดูแลได้ง่าย มีคุณภาพชีวิตที่ดี ประกอบด้วยการรักษาด้วยยาควบคุมพฤติกรรมผิดปกติต่างๆ และการรักษาโดยไม่ใช้ยา โดยเน้นการปรับพฤติกรรม การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม สำหรับปัญหาด้านภาษามีการฝึกโดยนักแก้ไขการพูดเพื่อฟื้นฟูให้สมองมีการปรับตัวให้ยังสื่อสารได้ การเสื่อมถอยชะลอลง
กรณีผู้ป่วยที่มีอาการมากแล้วไม่สามารถพูดสื่อสารได้ดีอีก จะใช้การฝึกสื่อสารชดเชยทักษะที่สูญเสียไป เช่น การใช้อุปกรณ์สื่อสาร การฝึกใช้ภาษาท่าทาง หรือการเขียนผ่านกระดานหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสื่อสารแทน เป็นต้น หากญาติหรือเพื่อนร่วมงานสงสัย มีคนใกล้ชิดป่วยด้วยภาวะนี้ สามารถปรึกษาแพทย์ประจำสถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลเฉพาะทางได้ รวมถึงสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีทั้งแพทย์ระบบประสาทและจิตแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นอย่างดี
ถ้าหากว่าไม่ใช้งานสมองเลย กล้ามเนื้อสมองก็จะเหี่ยว เล็ก และเสื่อมถอยลงไปในที่สุด เพราะฉะนั้นควรกระตุ้นสมองให้ทำงานทั้ง 6 ด้าน ด้วยการทำกิจกรรมฝึกสมองบ่อยๆ เช่น
source : โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ / ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลนครธน / สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข