svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

11 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ ‘ไมเกรน’ อาการปวดหัวที่กวนใจวัยทำงาน

รวมเรื่องราวหัวจะปวดของ “ไมเกรน” อาการเรื้อรังที่ฝังรากในกลุ่มคนวัยทำงาน ส่องที่มาของโรค อาการ ปัจจัยเสี่ยง อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง รวมทั้งยาที่ควรใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการ

อาการปวดศีรษะมีหลายรูปแบบและเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งการปวดศีรษะ “ไมเกรน” เป็นอาการหนึ่งที่พบได้บ่อยและกวนใจชาวออฟฟิศ เมื่อเป็นแล้วจะมีอาการปวดที่กระทบการทำงาน บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ตาพร่ามัว หรือเห็นแสงระยิบระยับนำมาก่อน ที่เป็นแบบนั้นเพราะอะไร แก้อย่างไร เรารวบรวม 11 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ ‘ไมเกรน’ อาการปวดหัวที่กวนใจวัยทำงาน มาให้จะเป็นอย่างไรมาดูกัน

เรื่องที่ 1 ไมเกรน คืออะไร?

ไมเกรน (migraine) เป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่งที่รบกวนชีวิตประจำวัน ลักษณะอาการที่สังเกตได้คือ ปวดศีรษะแบบตุบๆ มักจะเกิดข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้ โดยโรคไมเกรนส่วนใหญ่มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมักเป็นในผู้ที่มีความเครียดทางอารมณ์และจิตใจสูง ซึ่งนอกจากจะเป็นการรบกวนชีวิตประจำวันแล้วยังส่งผลต่อปัญหาสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย

เรื่องที่ 2 ไมเกรน เกิดจากอะไร?

ไมเกรนเกิดจากความผิดปกติชั่วคราวของระดับสารเคมีในสมอง ทำให้ก้านสมองถูกกระตุ้น หลอดเลือดในเยื่อหุ้มสมองมีการบีบและคลายตัวมากกว่าปกติ เกิดอาการปวดหัวตุบๆ หรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียน แพ้แสง จากก้านสมองที่ถูกกระตุ้น

11 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ ‘ไมเกรน’ อาการปวดหัวที่กวนใจวัยทำงาน

เรื่องที่ 3 วิธีสังเกตอาการปวดหัวแบบไหนใช่ “ไมเกรน”!!

  • ปวดหัวบริเวณขมับ อาจปวดร้าวมาที่กระบอกตา หรือท้ายทอย และปวดหัวข้างเดียว (บางรายอาจพบว่าปวดหัวทั้งสองข้าง)
  • ปวดศีรษะแบบตุบๆ เป็นระยะหรือเป็นจังหวะ
  • ในส่วนมากลักษณะอาการปวดมักมีความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก
  • บางรายอาจมีอาการอื่น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ร่วมด้วย
  • อาจมีอาการนำก่อนปวดศีรษะ เช่น เห็นแสงวูบวาบ ไฟระยิบระยับ หรือที่เรียกว่า อาการออร่า (migraine aura) ที่ผู้ป่วยจะเห็นเป็นแสงไฟสีขาวๆ มีขอบหยึกหยัก เป็นอาการเตือนนำมาก่อนที่จะเริ่มมีอาการปวดหัวประมาณ 10–30 นาที

 

เรื่องที่ 4 ปวดหัวไมเกรน ไม่จำเป็นต้องปวดหัวแค่ข้างเดียว

มีความเป็นไปได้สูงว่าอาการปวดหัวข้างเดียว มักเป็นสาเหตุมาจากไมเกรน แต่ก็มีความเข้าใจผิดกันมากว่า ปวดหัวไมเกรนเท่ากับ “ปวดหัวข้างเดียว” เท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้ว ผู้ป่วยไมเกรนสามารถปวดหัวได้ทั้งสองข้าง หรือปวดหัวข้างใดข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยย้ายสลับข้างได้เช่นกัน ดังนั้น หากมีอาการปวดหัวทั้งสองข้าง จึงไม่ควรนิ่งนอนใจว่าตัวเองไม่ได้เป็นไมเกรนแน่นอน ควรพิจารณาจากอาการอื่นๆ ประกอบด้วย และถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์

เรื่องที่ 5 ระยะของอาการปวดหัวไมเกรน

  1. ระยะบอกเหตุล่วงหน้า (Prodrome): มักจะมีอาการบอกเหตุประมาณ 1 – 2 วันก่อนเป็นไมเกรน เช่น ปวดตึงตามต้นคอ หรืออารมณ์แปรปรวน เป็นต้น
  2. อาการเตือนนำ (Aura): ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการมองเห็นผิดปกติ เช่น เห็นแสงระยิบระยับ เห็นแสงไฟสีขาวมีขอบหยึกหยัก หรือภาพเบลอหรือบิดเบี้ยว แต่บางรายก็ไม่มีอาการเตือนนำ
  3. อาการปวดศีรษะ (Headache): เป็นเหมือนช่วงไคลแม็กซ์ของอาการปวดหัวไมเกรน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวตุ๊บ ๆ หรือปวดหัวข้างเดียว จนไม่สามารทำงานได้ตามปกติ อาจเกิดร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน และจะแพ้ต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ เป็นพิเศษ เช่น แสงจ้า เสียงดัง
  4. เข้าสู่ภาวะปกติ (Postdrome): ภายหลังจากที่เริ่มหายปวดแล้ว ผู้ปวยมักจะมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน เกิดอาการสับสน หรือไวต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ เหมือนระยะที่สาม

 

เรื่องที่  6 เกณฑ์วินิจฉัยว่าเป็นปวดหัวไมเกรน

สมาคมปวดศีรษะนานาชาติ (The International Headache Society: IHS) ได้จัดให้อาการปวดหัวไมเกรน อยู่ในอาการปวดศีรษะแบบปฐมภูมิ (Primary headache) ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดและเส้นประสาทในสมอง (ไม่ได้เกิดจากโรค)

ทั้งนี้ ทางสมาคมฯ ได้มีเกณฑ์ในการวินิจฉัยอาการปวดหัวไมเกรนไว้ว่า ผู้ป่วยต้องมีอาการปวดหัวเกิน 5 ครั้ง ครบตามองค์ประกอบทั้ง 3 ข้อนี้ ได้แก่

  1. มีอาการปวดหัวต่อเนื่องนาน 4 ชั่วโมง ถึง 3 วัน  
  2. มีอาการอย่างน้อย 2 ใน 4 ข้อ ได้แก่ ปวดหัวข้างเดียว, ปวดหัวตุ๊บ ๆ, ปวดค่อนข้างมาก, หรือ ปวดจนทำงานไม่ไหว
  3. มีอาการปวดหัวร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน อาการกลัวแสง หรืออาการกลัวเสียง

แม้ว่าเกณฑ์ของสมาคมปวดศีรษะนานาชาติจะดูสั้นๆ แต่ก็ยังมีรายละเอียดค่อนข้างมาก อาจจะยังไม่สะดวกสำหรับบุคคลทั่วไป ที่จะประเมินตัวเองได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

11 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ ‘ไมเกรน’ อาการปวดหัวที่กวนใจวัยทำงาน

เรื่องที่  7 ปัจจัยกระตุ้นให้มีอาการปวดหัวไมเกรน

  • แสงไฟสว่าง แสงไฟกระพริบ หรือแสงแดดที่จ้า
  • อากาศที่ร้อนเกินไป หรืออากาศที่ร้อนชื้น เช่น ช่วงเวลาก่อนฝนจะตก
  • ออฟฟิศซินโดรม หรือโรคพังผืดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือใช้มือถือ ก้มหน้านาน ๆ จนกล้ามเนื้อเกิดพังผืดขึ้น รวมถึงอาการกล้ามเนื้อบริเวณคอตึง ก็สามารถกระตุ้นทำให้เกิดไมเกรน ปวดร้าวรอบกระบอกตา คลื่นไส้มึนหัวได้
  • อาหารที่สามารถกระตุ้นไมเกรน ได้ เช่น ชีส แอลกอฮอล์ ผงชูรส อาหารที่ผสมไนไตรท์ เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน น้ำตาลเทียม นอกจากนี้ ยังพบว่า คาเฟอีน ถือเป็นสารที่กระตุ้นอาการไมเกรนได้ ใครที่กินกาแฟอยู่แล้วมีอาการไมเกรน ควรลดปริมาณการกินกาแฟลง อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยเพียง 20% เท่านั้น ที่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าอาหารเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดไมเกรน
  • ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการอดนอน
  • ฮอร์โมนเอสโตรเจน  อาการปวดหัวไมเกรน มักถูกกระตุ้นเมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว เรียกว่า “อาการปวดหัวไมเกรน ตอนเป็นประจำเดือน” (menstrual migraine)
  • ช่วงเวลาภายหลังจากคลอดบุตร ในช่วงตั้งครรภ์ ความถี่ของการปวดไมเกรนจะลดลง แต่หลังจากคลอดลูกแล้ว พบว่าความถี่ของการปวดไมเกรนจะสูงขึ้น เพราะช่วงตั้งครรภ์อยู่นั้น ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะขึ้นสูงเรื่อย ๆ และมาต่ำลงหลังที่คลอดบุตร จึงไปกระตุ้นอาการไมเกรน

โดยทั่วไป คนที่เป็นไมเกรนมักมาจากสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นที่แตกต่างกันไปบ้าง ผู้ที่มีอาการเป็นประจำ ควรหมั่นสังเกตตัวเอง และหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่กระตุ้นการปวดหัวไมเกรน

 

เรื่องที่ 8 ปัจจัยเร่งการกำเริบของไมเกรน

  • ทางตา ได้แก่ แสงจ้า แสงระยิบระยับ การใช้สายตา
  • ทางหู ได้แก่ เสียงดัง ๆ หรือเสียงจอแจ จ้อกแจ้ก
  • ทางจมูก ได้แก่ กลิ่นฉุน เช่น น้ำหอม บุหรี่ น้ำมันรถ
  • ทางลิ้น ได้แก่ การกินอาหาร และเครื่องดื่มต่าง ๆ เช่น กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ทางกาย ได้แก่ มีประจำเดือน อากาศร้อน-เย็นเกินไป การอดนอนหรือนอนตื่นสาย
  • ทางใจ ได้แก่ ความเครียด อารมณ์หงุดหงิด โมโห ตื่นเต้น ตกใจ

 

เรื่องที่  9 การรับประทานอาหารของผู้ป่วยไมเกรน

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารไทรามีน (tyramine) เช่น เนยแข็ง เนื้อสัตว์แปรรูป ของหมักดอง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ
  • หลีกเลี่ยงของหวานที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลต โกโก้
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

11 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ ‘ไมเกรน’ อาการปวดหัวที่กวนใจวัยทำงาน

เรื่องที่ 10 แนวทางใช้ยารักษาปวดหัวไมเกรน

โรคไมเกรน สามารถตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาได้ผลดี จึงมีข้อแนะนำให้กินยา ดังนี้

1. กรณีปวดหัวไม่รุนแรง

ถ้าอาการปวดหัวไม่รุนแรง แนะนำให้กินเป็นอันดับแรก คือ พาราเซตามอล เนื่องจากยาชนิดนี้สามารถบรรเทาปวดจากสาเหตุต่าง ๆ ได้หลากหลาย โดยเฉพาะอาการปวดศีรษะจากไมเกรนแบบไม่รุนแรง

อย่างไรก็ตาม เราควรมั่นใจก่อนว่าตัวเองเป็นไมเกรนจริง ๆ ไม่ใช่อาการปวดหัวที่มาจากสาเหตุอื่น เพราะการกินยาโดยไม่เข้าใจโรคที่เราเป็นนั้นอาจเป็นการรักษาไม่ตรงจุดและเป็นอันตรายได้

2. กรณีปวดหัวรุนแรง

ถ้าเรามีอาการรุนแรงมาก อาจเลือกใช้ยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น naproxen, ibuprofen ซึ่งเป็น NSAIDs ที่ออกฤทธิ์ได้เร็ว เหมาะกับโรคไมเกรน สามารถหาซื้อง่ายตามร้านขายยา แต่เนื่องจากยากลุ่มนี้อาจก่อความระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ จึงแนะนำว่า ให้กินยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที

นอกจากนี้ ยังมียาในกลุ่ม NSAIDs ที่ระคายเคืองกระเพาะอาหารน้อยกว่า เช่น Etoricoxib (ชื่อการค้าที่คุ้นหูกันก็คือ Arcoxial) และ Celecoxib ซึ่งก็สามารถใช้บรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ควรหาซื้อกินเอง จนกว่าแพทย์จะแนะนำให้กินได้

ยากลุ่ม NSAIDs สามารถมีผลข้างเคียงต่อตับและไตได้ จึงควรระมัดระวัง ไม่กินยาประเภทนี้เกิน 4–10 เม็ดต่อเดือน และควรกินภายใต้คำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด

กลุ่มยาแก้ปวด เฉพาะสำหรับอาการปวดหัวไมเกรน ได้แก่ ยากลุ่มทริปแทน (Triptan)  เช่น eletriptan หรือ sumatriptan พบว่ามีประสิทธิภาพดีและมีผลข้างเคียงน้อยกว่า NSAIDs โดยจะออกฤทธิ์ต่อสารเซโรโทนินในสมอง ช่วยทำให้หลอดเลือดในสมองหดตัว

อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ สมอง และขา ควรระมัดระวังการใช้ และควรใช้ภายใต้คำสั่งแพทย์ ควรเว้นระยะการกินยาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง และไม่ควรกินต่อเนื่องเกิน 10 เม็ดใน 1 เดือน

ยากลุ่มเออร์กอต อัลคาลอยด์ (Ergot alkaloids) เช่น Cafergot ยากลุ่มนี้รักษาได้ผลดี แต่ก็มีผลข้างเคียงที่สำคัญมาก คือ ทำให้เส้นเลือดตีบ หรืออาจทำให้ขาหรือนิ้วดำ จึงไม่ควรกินติดต่อกันเป็นเวลานาน

 

เรื่องที่  11 พฤติกรรมควรทำ สำหรับคนเป็นไมเกรน

เราได้ทำความรู้จักกับโรคไมเกรนมาหลายหัวข้อแล้ว สำหรับหัวข้อนี้จะเป็นแนวทางการป้องกันและลดความรุนแรงเมื่อมีอาการ โดยมีหลัก 3 ข้อง่าย ๆ ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น ซึ่งจะให้ดีที่สุด เราควรจะรู้จักตัวเอง ว่าอะไรคือปัจจัยกระตุ้นที่ส่งผลกับอาการปวดของเราได้มากที่สุด เช่น การนอนไม่เพียงพอ มีความเครียด การอยู่ในที่อากาศร้อนหรือเย็นเกินไป การมองแสงจ้า เป็นต้น สำหรับคุณผู้หญิง อาจมีปัจจัยกระตุ้นมาจากฮอร์โมนเฮสโตรเจน และการมีประจำเดือน

2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นข้อแนะนำยอดนิยมที่ช่วยป้องกันได้หลายโรค เนื่องจากช่วยในการปรับระดับสารเคมีในร่างกาย ทำให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ และยังทำให้เกิดการหลั่งสารแห่งความสุข หรือเอ็นดอร์ฟิน (Endorphins) อีกด้วย

แต่การออกกำลังกายก็ไม่ควรหักโหม หรือทำอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีวันพัก แนะนำให้เริ่มด้วยการเดินเร็ว หรือการขี่จักรยานใกล้บ้าน หรือกิจกรรมง่าย ๆ ก่อน และควรหมั่นสังเกตตัวเองอยู่เสมอ เนื่องจากสำหรับบางคนแล้ว การออกกำลังกายที่หนักหรือต่อเนื่องเกินไป อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ปวดหัวไมเกรนได้

3. ควรหยุดพัก 10 – 20 นาที เมื่อเริ่มรู้สึกปวดหัวไมเกรน โดยพักในห้องที่มืดและมีอากาศเย็น ไม่อับหรือชื้น มีบรรยากาศเงียบสงบ

อย่างไรก็ตาม หากอาการปวดหัวไมเกรนยังรุนแรงอย่างต่อเนื่องและไม่ทุเลาลง ควรรีบไปพบแพทย์