svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

รู้จัก "โรคไซโคพาธ" มีอาการอย่างไร ต้องระวังและรู้เท่าทันเล่เหลี่ยมฆาตกร

ทำความรู้จัก "โรคไซโคพาธ" คือโรคอะไร มีอาการอย่างไรกันบ้าง หลังพบในหลายคดีดัง "แม่น้องต่อ" ล่าสุด "แอม ไซยาไนด์" กรมสุขภาพจิตเผย คนร้ายมีพฤติกรรมเข้าข่าย จากการเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง สังคมไทยต้องตระหนักให้มาก นี่คืออีกหนึ่งภัยร้ายในสังคมไทยวันนี้

คดีแอม ไซยาไนด์ กำลังเป็นคดีดังสนั่นวงการและเป็นที่จับตาของผู้คนในสังคมไทยอย่างมาก หลังจากที่เกิดกรณี นางสรารัตน์ หรือ "แอม ไซนาไนด์" ผู้ต้องหาคดีสังหาร "ก้อย" และจากการสอบสวนขยายผลพบว่าผู้ต้องหาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของเพื่อนในวงแชร์เพิ่มอีก 13 ราย รอด 1

รู้จัก "โรคไซโคพาธ" มีอาการอย่างไร ต้องระวังและรู้เท่าทันเล่เหลี่ยมฆาตกร

หากจะย้อนไปคดีดังก่อนหน้านี้ โรคไซโคพาธ หรือ Psychopaths หนึ่งในอาการป่วยทางจิตอีกรูปแบบหนึ่ง กลับมาเป็นที่สนใจในสังคมไทยอีกครั้ง หลังเกิดกรณี "น้องต่อ" เด็กชายวัย 8 เดือน หายจากบ้านในที่จังหวัดนครปฐม ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อสงสัย และนำตัว น.ส.นิ่ม แม่ของน้องต่อ เข้ารับการตรวจสุขภาพจิต 

เบื้องต้นมีรายงานว่า "แม่น้องต่อ" อาจป่วยเป็นโรคไซโคพาธ ซึ่งเป็นโรคบุคลิกภาพผิดปกติ ขาดความสำนึกผิดความรู้สึกด้านชาไม่เกรงกลัว ขาดความยับยั้งชั่งใจ เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง !!

รู้จัก "โรคไซโคพาธ" มีอาการอย่างไร ต้องระวังและรู้เท่าทันเล่เหลี่ยมฆาตกร

จนในสังคมมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของผู้ต้องหาที่เป็นการฆาตกรรมต่อเนื่อง มีความเหี้ยมโหด ไร้สำนึกผิดชอบ โดย กรมสุขภาพจิตชี้พฤติกรรม "แอม ไซยาไนด์" เข้าข่ายกลุ่มโรคไซโคพาธ

รู้จัก "โรคไซโคพาธ" มีอาการอย่างไร ต้องระวังและรู้เท่าทันเล่เหลี่ยมฆาตกร ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของ "เนชั่นออนไลน์" เพื่อร่วมไขข้อสงสัยในเรื่อง "โรคไซโคพาธ" พบว่า

โรคไซโคพาธ (Psychopaths) เป็นหนึ่งในกลุ่มของโรค "บุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม" โดยมีลักษณะขาดความเห็นใจผู้อื่น ขาดความสำนึกผิด ความรู้สึกด้านชาไม่เกรงกลัว ขาดความยับยั้งชั่งใจ เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง

จับตาอาการของไซโคพาธ

  • มักแสดงออกทางจิตใจที่แข็งกระด้าง 
  • มีพฤติกรรมตอบสนองต่อความต้องการของตนเองโดยไม่สนใจผู้อื่นในสังคม 
  • มีความผิดปกติทางอารมณ์และความคิดโดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าสังคม
  • มักเชื่อมโยงกับพฤติกรรมความรุนแรงซ้ำๆ และก่อให้เกิดอาชญากรรม

รู้จัก "โรคไซโคพาธ" มีอาการอย่างไร ต้องระวังและรู้เท่าทันเล่เหลี่ยมฆาตกร

เปิดสาเหตุโรคไซโคพาธ

สาเหตุด้านทางกาย 

  • มีความผิดปกติของสมองโดยเฉพาะส่วนหน้าและส่วนอะมิกดะลา
  • ความผิดปกติของสารเคมีในสมอง 
  • อุบัติเหตุทางสมอง 
  • พันธุกรรม

สาเหตุด้านจิตใจและสังคม 

  • การถูกกระทำทารุณกรรมในวัยเด็ก 
  • การถูกเลี้ยงดูแบบละเลยเพิกเฉย 
  • อาชญากรรมในครอบครัว 
  • ความแตกแยกในครอบครัว 
  • สภาพสังคมรอบตัวที่โหดร้าย

การรักษา

  • การรักษาด้วยยา มีประโยชน์ในการรักษาโรคทางจิตเวชที่เกิดร่วมกับไซโคพาธ
  • การปรับพฤติกรรม เน้นการพัฒนาสิ่งที่สนใจในแง่ดี และการให้รางวัลเมื่อกระทำพฤติกรรมดี
  • การลงโทษ มักไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้เนื่องจากอาการด้านชาทางอารมณ์

 

ไซโคพาธ (Psychopaths) เป็นหนึ่งภาวะที่รักษาได้ยากและมักมีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี มักไม่ร่วมมือกับการทำจิตบำบัดจึงได้ประโยชน์ค่อนข้างน้อย

 

รู้จัก "โรคไซโคพาธ" มีอาการอย่างไร ต้องระวังและรู้เท่าทันเล่เหลี่ยมฆาตกร การวินิจฉัยไซโคพาธ
 
จิตแพทย์จะประเมินความคิด รู้สึก พฤติกรรม และสายสัมพันธ์คนใกล้ชิดของผู้ป่วย และนำมาเทียบกับเกณฑ์บุคลิกภาพต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder: ASPD) ซึ่งจะต้องตรงกัน 3 ข้อขึ้นไป ได้แก่

ทำสิ่งผิดกฎหมาย

  • ก้าวร้าว ทะเลาะวิวาท ทำร้ายผู้อื่น
  • ทำสิ่งใดโดยไม่สนใจความปลอดภัยของตนเอง รวมทั้งคนใกล้เคียง
  • โกหก หลอกลวงผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ แล้วมีความสุข
  • ไร้จิตสำนึกในความผิดที่ตนก่อขึ้น
  • ประสบปัญหาด้านการงาน และรายได้

ล่าสุด กรมสุขภาพจิต เผย "แอม ไซยาไนด์" เข้าข่ายเป็น "โรคไซโคพาธ"

ซึ่งประเด็นร้อนสนั่นโลกออนไลน์ในขณะนี้ คดี "แอม ไซยาไนด์" ทางด้าน พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้เปิดบทสัมภาษณ์ไว้ว่า จากวิเคราะห์ลักษณะพฤติกรรมของผู้ต้องหา เข้าข่ายเป็นกลุ่ม โรคไซโคพาธ (Psychopaths) คือ อาการขาดความสำนึกผิด โกหกหน้าไม่อาย หลอกตัวเอง ไร้ความเห็นใจผู้อื่น เพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตัว ขาดความสำนึกผิด ความรู้สึกด้านชาไม่เกรงกลัว ขาดความยับยั้งชั่งใจ และเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder)


ทั้งนี้ จะต้องมีการพิจารณาประเมินหลาย ๆ ด้าน เพราะลักษณะเช่นนี้ในบางกรณีอาจเกิดขึ้นแบบผิวเผิน ที่เป็นการฆ่า เพื่อหวังทรัพย์สิน สิ่งของ แต่ในบางกรณีที่เป็นลักษณะการกระทำพฤติกรรมเดิมซ้ำๆรูปแบบเดิม และเหยื่อเป็นคนกลุ่มเดียวกัน พฤติกรรมของผู้ต้องหาอาจเกิดจากปม บางอย่างในจิตใจที่อาจเกิดจากการเลี้ยงดูหรือเหตุการณ์ ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ต้องใช้การ ประเมินโดยจิตแพทย์ในการที่จะสรุป

จาก หลายกรณีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศที่พบการ ฆาตกรรมต่อเนื่อง แล้วการสืบสวนพบว่ากลุ่มของเหยื่อมีลักษณะคล้ายกันวิธีการของฆาตกรเป็นรูปแบบเดิม ที่เรียกว่ากลุ่ม Black window ในลักษณะของผู้ต้องหารายนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ต้องรอความชัดเจนของสอบสวนก่อนว่าการในแต่ละกรณีเป็นผู้ต้องหารายนี่จริงหรือไม่

พญ.อัมพร เผยอีกว่า

ในการติดตามหรือรับข้อมูลข่าวสารในกรณีลักษณะเช่นนี้ ขอแนะนำประชาชนควรพิจารณาวิเคราะห์ข้อมูลก่อน ไม่ควร ใช้ตนเองตัดสินเพราะมีความเสี่ยงที่ จะมีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์และอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงกับผู้ที่อยู่ในข่าว ผู้ต้องสงสัย,ผู้ต้องหา หรือญาติคนข้างเคียง ที่เกี่ยวข้อง จนเรากลายเป็นผู้ก่อเหตุเสียเอง

ขณะเดียวกันเรื่องที่สังคมให้ความสนใจโดยเฉพาะประเด็นสารพิษอันตราย 'ไซยาไนด์' ประเด็นนี้ ทางด้าน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการออกฤทธิ์เมื่อสัมผัส รวมไปถึง กลไกการเกิดพิษสูงสุด ซึ่งเป็นข้อมูลที่ควรรู้ เราไปดูกันว่ารายละเอียดแต่ละหัวข้อเป็นอย่างไรกันบ้าง

ไซยาไนด์ (Cyanide) คือสารอันตราย เป็นชื่อเรียกกลุ่มสารประกอบ แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ Free Cyanide , Simple Cyanide, Complex Cyanide, Total Cyanide และ Cyanide Related Compound โดยสารกลุ่ม Simple Cyanide เช่น โซเดียมไซยาไนด์ โพแทสเซียมไซยาไนด์ ที่อยู่ในรูปเกลื่อไซยาไนด์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการทำความสะอาดโลหะ การชุบโลหะด้วยไฟฟ้า การสกัดแร่ทองและเงินออกจากสินแร่ ใช้เป็นวัตถุดิบในการย้อมสี เป็นต้น แต่เมื่อละลายน้ำจะแตกตัว ได้ Free Cyanide ออกมา ซึ่งเป็นสารที่มีความเป็นพิษสูง

การรับสัมผัสพิษจากไซยาไนด์

1.ทางลมหายใจ แก๊สไฮโดรเจนไซยาไนด์จะเกิดการแลกเปลี่ยนแก๊สที่ปอด เข้าสู่กระแสเลือด ความรุนแรงของพิษขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของไซยาไนด์และระยะเวลาสูดดม

2.ทางผิวสัมผัส สารละลายไซยาไนด์มีสภาพเป็นเบสสูง มีฤทธิ์กัดกร่อน ถูกดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณที่มีบาดแผล ทำให้เกิดผื่นตามผิวหนัง ไอของแก๊สไฮโดรเจนไซยาไนด์จะทำลายเรตินาประสาทตา ทำให้ตาบอด

3.ทางปาก ไซยาไนด์จะถูกดูดซึมเข้าสู่ผนังชั้นในของกระเพาะอาหาร และกรดในกระเพาะอาหารทำให้เกิดการแตกตัวของสารประกอบไซยาไนด์มากขึ้น

กลไกการเกิดพิษของไซยาไนด์

ไซยาไนด์ จะยับยั้งขบวนการหายใจระดับเซลล์ส่งผลให้เนิดสภาวะขาดออกซิเจน มีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตตก สมองขาดออกซิเจน ส่งผลให้ผู้ป่วยชักหรือหมดสติ ความดันโลหิตต่ำและมีการหายใจช้าจนถึงหยุดหายใจ

การตรวจวิเคราะห์ไซยาไนด์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รับตรวจวิเคราะห์

1.ยืนยันไซยาไนด์ ในตัวอย่าง น้ำล้างกระเพาะ อาหาร วัตถุต้องสงสัย

2.ปริมาณไซยาไนด์ ในตัวอย่างเลือด

3. ปริมาณเมตาบอไลต์ไทโอไซยาเนต (thiocyanate) ในตัวอย่างปัสสาวะ

อันตรายจากไซยาไนด์

ไซยาไนด์ สามารเข้าสู่ร่างกายได้หลายวิธี เบื้องต้นอาจทำให้เกิดอาการ เช่น ระคายเคืองบริเวณที่สัมผัสอย่างผิวหนังหรือดวงตา ร่างกายอ่อนแรง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ หายใจติดขัด หมดสติ และหัวใจหยุดเต้น เป็นต้น โดยความรุนแรงของอาการนั้นอาจขึ้นอยู่กับชนิด ปริมาณ และระยะเวลาในการได้รับ โดยผลกระทบจากการได้รับไซยาไนด์ อาจแบ่งได้ 2 ประเภท คือ 

1.ภาวะเป็นพิษแบบเฉียบพลัน เป็นอาการที่พบได้ยาก เกิดขึ้นในทันที อาจทำให้เกิดอาการ เช่น หายใจติดขัด เลือดไหลเวียนผิดปกติ ภาวะหัวใจหยุดเต้น สมองบวม ชัก และหมดสติ เป็นต้น

2.ภาวะเป็นพิษแบบเรื้อรัง เกิดจากการได้รับไซยาไนด์ปริมาณเล็กน้อยต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เบื้องต้นอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ง่วงซึม คลื่นไส้ อาเจียน เกิดผื่นแดง และอาจมีอาการอื่นๆเกิดขึ้นตามมา เช่น รูม่านตาขยาย ตัวเย็น อ่อนแรง หายใจช้า ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานานอาจทำให้หัวใจเต้นช้าหรือเต้นผิดปกติ ผิวหนังบริเวณใบหน้าและแขนขากลายเป็นสีม่วง โคม่า และเสียชีวิตในที่สุด

ควรรับมืออย่างไร หากสัมผัสไซยาไนด์

1.การสัมผัสทางผิวหนัง ให้ถอดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนออกด้วยการใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าออกเป็นชิ้นๆและนำออกจากลำตัว วิธีนี้จะช่วยให้เสื้อผ้าที่ปนเปื้อนไม่ไปสัมผัสกับผิวหนังส่วนอื่น และไม่ควรให้ผู้อื่นสัมผัสร่างกายหรือเสื้อผ้าโดยตรงเพราะอาจได้รับพิษจากไซยาไนด์ไปด้วย ที่สำคัญรีบทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำและสบู่เพื่อลดปริมาณสารพิษ และไป รพ.ให้เร็วที่สุด

2.การสูดดม กรณีที่ผู้ป่วยหายใจลำบากหรือหยุดหายใจ ต้องทำ CPR ปั๊มหัวใจเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้นและรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด แต่ห้ามใช้วิธีเป่าปากหรือวิธีผายปอดเพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับพิษ

3.การสัมผัสทางดวงตา กรณีใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ ควรถอดออก จากนั้นให้ใช้น้ำสะอาดล้างตาต่อเนื่องกันอย่างน้อย 10 นาทีและไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจ

กรณี ถ้าไปพบคนกำลังแย่เพราะไซยาไนด์อยู่ตรงหน้า ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าเป็นการกินเข้าไปก็ต้องส่งเข้าโรงพยาบาลล้างท้องเร็วที่สุด ถ้าเป็นก๊าซไซยาไนด์ ก็ต้องพาออกไปให้พ้นจากบริเวณที่มีก๊าซให้เร็วที่สุด ที่สำคัญคือคนช่วยต้องระวังตัวมากๆ อย่าสูดลมหายใจของผู้ป่วยเข้าไปเป็นอันขาด

วิธีหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับไซยาไนด์ ที่สามารถทำได้เบื้องต้น เช่น 

  • งดสูบบุหรี่
  • เก็บภาชนะที่บรรจุสารเคมีภายในบ้านให้มิดชิดและเหมาะสม
  • ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสารเคมี ควรใช้ภาชนะรองรับสารเคมีที่มีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งอาจช่วยให้ได้รับสารพิษน้อยลงหากเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงลดโอกาสการสัมผัสและการสูดดมลงด้วย
  • ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสารเคมี ไม่ควรนำเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์ที่อาจปนเปื้อนไซยาไนด์ออกนอกสถานที่ทำงานหรือนำกลับบ้าน
  • ผู้ที่มีความเสี่ยงได้รับสารพิษสูง เช่น เกษตรกร ช่างเหล็ก ช่างทอง พนักงานที่อยู่ในกระบวนการการผลิตกระดาษ สิ่งทอ ยาง และพลาสติก ผู้ที่ทำงานกำจัดแมลง เป็นต้น ควรไปพบแพทย์และเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ

รู้จัก "โรคไซโคพาธ" มีอาการอย่างไร ต้องระวังและรู้เท่าทันเล่เหลี่ยมฆาตกร

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ / pobpad / wikipedia.org/wiki/ ไซยาไนด์ / กรมสุขภาพจิต / กระทรวงสาธารณสุข / โรงพยาบาลเพชรเวช

รู้จัก "โรคไซโคพาธ" มีอาการอย่างไร ต้องระวังและรู้เท่าทันเล่เหลี่ยมฆาตกร