
กลายเป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อประเทศเกาหลีใต้พบผู้เสียชีวิตรายแรกในประเทศจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเพราะเชื้ออะมีบา หรือ “อะมีบากินสมอง” ซึ่งเกิดจากเชื้ออะมีบาชนิดนีเกลอเรีย หลังเดินทางกลับจากประเทศไทย ทำให้หลายคนกังวลหากต้องลงเล่นน้ำในลำรางสาธารณะ หรือตามแหล่งน้ำธรรมชาติ
ความน่ากลัวของอะมีบาเมื่อเข้าสู่คน
อะมีบากินสมอง หรือโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากอะมีบา ไม่ใช่โรคระบาดที่แพร่จากคนสู่คน แต่เกิดจากสัตว์เซลล์เดียวที่เรียกว่า "อะมีบา" ชนิดโปรตัวซัวร์ที่เป็นสัตว์เซลล์เดียว ส่วนใหญ่ที่พบมี 2 ชนิด คือ
1. นีเกลอเรีย (Naegleria) เป็นเชื้อที่มีการแบ่งตัวออกจากกันเป็นจำนวนมากและรวดเร็ว มีอานุภาพร้ายแรงในการทำลาย กัดกินเนื้อสมอง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ มีไข้ต่ำเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา จากนั้นจะเริ่มตัวแข็ง คอแข็ง สมองบวม โดยเชื้อจะไชเข้าทางโพรงจมูกและขึ้นไปกินเนื้อสมองอย่างรวดเร็ว เชื้อชนิดนี้ไม่พบในน้ำกร่อยและน้ำทะเล
2. อะคันธามีบา (Acanthamoeba) มีการแบ่งตัวออกจากกันช้ากว่าชนิดแรก โดยทั่วไปจะไปติดเชื้อที่ปอด แผลตามผิวหนัง และเยื่อกระจกตา ซึ่งในต่างประเทศเคยมีรายงานการติดเชื้อจากคอนแทคเลนส์ด้วย และเคยมีรายงานว่าเคยมีผู้ป่วยที่ได้รับเชื้ออะมีบาที่ตา เนื่องจากลงเล่นน้ำในคลอง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ เซื่องซึม ความดันในกะโหลกสูงขึ้น คอแข็ง มีก้อนแข็งๆ ในสมอง เชื้อชนิดนี้พบได้ในน้ำทะเล
สำหรับเชื้ออะมีบาชนิดนีเกลอเรียเข้าสู่คนได้ก็ต่อเมื่อ "สำลักน้ำที่มีเชื้ออะมีบานั้นเข้าจมูก" โดยการว่ายน้ำหรือดำน้ำ และเกิดการสำลักน้ำเข้าจมูกอย่างรุนแรง ทำให้เชื้อที่ปนอยู่ในน้ำจะผ่านเข้าทางประสาทรับรู้กลิ่นในจมูก (Olfactory nerve) และเข้าสู่สมอง ทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน ผู้ป่วยมักเสียชีวิตก่อนได้รับการวินิจฉัย เนื่องจากอาการจะเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดเสียชีวิตภายใน 10 วัน
โอกาสติดเชื้ออะมีบาจนถึงขั้นสมองอักเสบและเสียชีวิต
อะมีบากินสมอง เป็นอาการที่พบได้ยากมากจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ แต่หากติดเชื้อกลับมีโอกาสเสียชีวิตสูงและอาจเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว โรคอะมีบากินสมอง หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Primary amebic meningoencephalitis (PAM) มีรายงานครั้งแรกจากประเทศออสเตรเลียเมื่อปี 2508 ทั่วโลกมีรายงานโรคนี้ประมาณ 400-500 ราย ส่วนในสหรัฐฯ มักพบผู้ติดเชื้อในรัฐทางภาคใต้ และพบได้น้อยมากในรัฐฟลอริดา โดยพบเพียง 37 ราย นับตั้งแต่ปี 1962
ทางด้านกรมควบคุมโรค ระบุว่าสำหรับประเทศไทยในช่วง 40 ปี ที่ผ่านมา (2526-2564) พบผู้ป่วยโรคสมองอักเสบจากเชื้ออะมีบา 17 ราย ในจำนวนนั้นมี 14 คนเสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย เป็นสัญชาติไทย 16 ราย เเละสัญชาตินอร์เวย์ที่เดินทางกลับจากไทย 1 ราย โดยพบผู้ป่วยที่จังหวัดศรีษะเกษ สมุทรปราการ นครปฐม ตราด สุพรรณบุรี และกรุงเทพมหานคร ดังนั้น คนไทยจึงไม่ควรตระหนกกับโรคอะมีบากินสมอง เพราะปีหนึ่งๆ เด็กไทยอายลระหว่าง 1-4 ปี เสียชีวิตจากการเล่นน้ำและจมน้ำตายเฉลี่ยปีละ 1,481 ราย หรือเฉลี่ยวันละ 4 ราย ถือเป็นสาเหตุการตายสูงสุดสำหรับเด็กวัยนี้มากกว่าสำลักน้ำแล้วติดเชื้ออะมีบากินสมองหลายเท่า
อาการของอะมีบากินสมอง
เชื้ออะมีบาไม่ได้ทำให้บ้าเหมือนชื่อ แต่โรคนี้มีอาการเหมือนโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้ออื่นๆ คือ มีไข้ ปวดหัวมาก คลื่นไส้ อาเจียน แต่จะแย่ลงอย่างรวดเร็ว ซึมชัก ไม่รู้สึกตัว และเสียชีวิต คนที่สงสัยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หมอจะต้องเจาะน้ำไขสันหลังคนไข้มาตรวจทุกคน แต่ต่างกันตรงที่หากหมอสงสัยว่าเกิดจากอะมีบากินสมอง หมอต้องตรวจทันที ซึ่งจะเห็นตัวอะมีบาเคลื่อนไหวด้วยขาเทียมในน้ำไขสันหลังได้ ห้ามแช่เย็นเพราะจะทำให้อะมีบาตาย และไม่เห็นการเคลื่อนไหวของมัน
อีกวิธีหนึ่งคือ นำน้ำไขสันหลังไปเพาะเลี้ยงเชื้อในวุ้นที่ใส่แบคทีเรีย หรือนำเชื้อที่สงสัยไปย้อมสี หรือหากคนไข้เสียชีวิตก่อน อาจวินิจฉัยจากชิ้นเนื้อสมอง ที่แสดงลักษณะเฉพาะของเชื้อ สำหรับคนไข้อะมีบากินสมองจะมีอันตรายสูงมาก ในโลกนี้มีคนไข้เพียง 6 รายเท่านั้นที่รอดชีวิต รวมคนไทย 2 รายด้วย ดังนั้น มักไม่มีการรักษาที่เป็นมาตรฐาน คนไข้ไทย 2 รายที่รอดตายได้รับการรักษาด้วยยาฉีด amphoteracin B นาน 14 วัน และให้ ยากิน rifampicin และ ketoconazole หรือ itracanazole อีก 1 เดือน
แนวทางป้องกันการติดเชื้อ “อะมีบา”
ที่มา : คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล, BBC