svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ

12 วิธีดูแลตัวเองรับลมหนาว อากาศดี สุขภาพดี ไม่มีป่วย

13 ธันวาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ดูแลสุขภาพให้พร้อมสัมผัสลมหนาวแบบไม่ป่วยด้วย 12 วิธีใส่ใจตัวเอง พร้อมเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพที่มักมาพร้อมกับอากาศแห้งและเย็น

ต้อนรับลมหนาวอีกครั้งกับบรรยากาศความเย็นที่เหมาะกับการไปท่องเที่ยวมากที่สุด แต่ใช่ว่าความหนาวเย็นจะส่งผลดีเสมอไป เพราะอากาศในลักษณะนี้อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นกัน โดยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นมีตั้งแต่ไม่รุนแรงอย่างอาการผิวแห้ง ไปจนถึงอาการร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น ก่อนออกไปเผชิญความเหน็บหนาว ไม่ว่าทั้งตามฤดูกาลหรือตามการเดินทางไปยังท้องที่ต่าง ๆ จึงควรศึกษาผลกระทบและหาวิธีรับมืออากาศหนาวให้ดีก่อน

12 วิธีดูแลตัวเองรับลมหนาว อากาศดี สุขภาพดี ไม่มีป่วย ผลกระทบที่เกิดต่อร่างกายจากอากาศหนาว

อากาศที่หนาวเย็นอาจทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป จนอาจเกิดความผิดปกติต่าง ๆ ขึ้น โดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพในระยะยาวอย่างโรคหัวใจ มีปัญหาสุขภาพจิต เป็นผู้มีรายได้น้อยจนไม่สามารถซื้อเครื่องนุ่งห่มหรือเครื่องใช้ที่ช่วยป้องกันอากาศหนาวได้ หรือมีความบกพร่องทางร่างกายที่อาจเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากอากาศหนาวมากกว่าคนทั่วไป

 

ซึ่งผลกระทบและอาการที่อาจเกิดขึ้นจากอากาศหนาวนั้นมีหลายรูปแบบ เช่น

หนาวสั่น เป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายพยายามควบคุมอุณหภูมิไม่ให้ต่ำลงแม้จะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม โดยกล้ามเนื้อขนาดเล็กจำนวนมากจะหดตัวเพื่อสร้างความร้อน ซึ่งอาการหนาวสั่นอาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญภายในร่างกายได้ แต่เมื่ออยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นและมีอาการสั่นร่วมด้วย ควรหาทางทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น เพราะหากปล่อยให้ร่างกายเย็นลงกว่าเดิมก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้

ผิวแห้ง ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในฤดูหนาว เพราะอากาศเย็นที่สัมผัสผิวหนังจะดูดเอาความชุ่มชื้นบนผิวหนังออกไปด้วย จนอาจทำให้รู้สึกได้ว่ามีผิวแห้งบริเวณใบหน้า มือ หรือเท้า ซึ่งบางคนอาจมีอาการคัน ผิวแตก ผิวหนังอักเสบ หรืออาจทำให้โรคผิวหนังบางชนิดอย่างภูมิแพ้ผิวหนังมีอาการรุนแรงขึ้นได้

ปวดหัว สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้สารเคมีและคลื่นไฟฟ้าในสมองเปลี่ยนแปลงไป จนอาจกระทบต่อเส้นประสาทและเป็นสาเหตุของอาการปวดหัวหรือกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ นอกจากนี้ การเผชิญกับอากาศหนาวโดยตรงหรือการสูดหายใจนำอากาศเย็นเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้รู้สึกปวดหัวคล้ายกับตอนรับประทานไอศกรีมอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน

12 วิธีดูแลตัวเองรับลมหนาว อากาศดี สุขภาพดี ไม่มีป่วย น้ำตาหรือน้ำมูกไหล ดวงตาเป็นอวัยวะที่ต้องการความชุ่มชื้นตลอดเวลา แต่อากาศที่เย็นและแห้งอาจทำให้ตาเกิดการระคายเคืองได้ ร่างกายจึงสร้างของเหลวบริเวณดวงตาเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาความชุ่มชื้นเอาไว้ จึงอาจทำให้มีของเหลวบางส่วนไหลออกมาเป็นน้ำตาได้ นอกจากดวงตาแล้ว อากาศลักษณะนี้ก็อาจทำให้ร่างกายปรับตัวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นภายในโพรงจมูกด้วย และเมื่อของเหลวในโพรงจมูกมีมากเกินไปก็อาจทำให้มีน้ำมูกไหลออกมาได้เช่นกัน

หายใจไม่อิ่ม อากาศที่แห้งและเย็นอาจทำให้ปอดและหลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้น หรืออาจทำให้ปอดเกิดการระคายเคืองได้ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหอบหืดหรือมีภาวะหลอดลมอักเสบ ในบางครั้งจึงอาจรู้สึกว่าการหายใจนำอากาศเย็นเข้าสู่ปอดนั้นทำให้ไอ หายใจหอบเหนื่อย หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจมีเสียงหวีดจากภาวะหลอดลมตีบได้ นอกจากนี้ หากเกิดอาการหายใจไม่อิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน หรือเกิดอาการต่าง ๆ ร่วมกับอาการคลื่นไส้ เจ็บหน้าอก หรืออาการอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน อาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจได้ จึงควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วหากพบอาการดังกล่าว

นิ้วมือหรือนิ้วเท้าอักเสบและคันจากอากาศหนาว เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดขนาดเล็กใต้ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสความเย็นประมาณ 16 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า ซึ่งทำให้มีอาการบวม แดง คัน หรือเป็นรอย หากอาการรุนแรงก็อาจทำให้เป็นแผลได้ โดยอาการดังกล่าวมักเกิดขึ้นที่นิ้วมือ นิ้วเท้า หู หรือแก้ม โดยปกติแล้วอาการจะหายไปภายใน 1-3 สัปดาห์ แต่หากสัมผัสกับอากาศเย็นอีกครั้ง อาการแดงและคันก็อาจกลับมาได้

ลมพิษจากการสัมผัสความเย็น เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังสัมผัสกับความเย็น ซึ่งจะทำให้ผิวหนังมีสีแดง แตก เป็นรอยนูนบวม และคันคล้ายผื่นลมพิษ อาจมีอาการมือพองหากสัมผัสขวดน้ำเย็น หรือปากและคออาจมีอาการบวมหลังจากรับประทานอาหารเย็นจัด รวมถึงการว่ายน้ำในน้ำเย็นก็อาจทำให้อาการมีความรุนแรงยิ่งขึ้นได้ โดยอาการนี้มักเกิดขึ้นในวัยหนุ่มสาว และจะค่อยๆ หายไปเมื่อมีอายุมากขึ้น

เท้าเปื่อย หากเท้าสัมผัสกับอากาศเย็นเป็นเวลานานเกินไป อาจทำให้เกิดอาการเท้าเปื่อยได้ ซึ่งอาการดังกล่าวจะกีดขวางการไหลเวียนของโลหิต สารอาหาร และออกซิเจนบริเวณเท้า โดยอาจนำไปสู่อาการต่างๆ เช่น ตะคริวที่ขา อาการปวด บวม แดง เสียวซ่า เป็นแผลพุพอง เป็นแผลที่เท้า หรืออาจทำให้เนื้อเยื่อเริ่มตายจนเท้ากลายเป็นสีเทาหรือม่วง เป็นต้น ยิ่งหากเท้าเปียก อาจทำให้เกิดอาการนี้ขึ้นได้ที่อุณหภูมิเพียง 15 องศาเซลเซียสเท่านั้น

ผิวหนังถูกทำลายจากความเย็นจัด มักเกิดขึ้นที่นิ้วมือ นิ้วเท้า หรืออวัยวะต่างๆ บนใบหน้าอย่างหู จมูก แก้ม หรือคาง และเมื่อเกิดอาการดังกล่าวขึ้นก็อาจทำให้เป็นแผลพุพองบริเวณที่มีอาการ ผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณนั้นไม่มีความรู้สึกหรือมีสีซีดลง รวมถึงอาจใช้งานอวัยวะนั้นๆ ได้ลำบาก หากภาวะผิวหนังถูกทำลายจากความเย็นจัดมีความรุนแรง อาจทำให้ผิวหนังกลายเป็นสีดำหรืออาจต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้งไป

ภาวะตัวเย็นเกิน เป็นภาวะที่อุณหภูมิในร่างกายลดลงต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส ซึ่งอาจเกิดจากการสัมผัสอากาศหนาวหรือสัมผัสน้ำเย็น โดยทั่วไปแล้วในช่วงแรกอาจมีอาการสั่น หิว สับสน คลื่นไส้ การขยับร่างกายและการพูดมีปัญหา หรือหัวใจเต้นเร็ว แต่หลังจากนั้นอาการสั่นอาจหยุดลง และอาจมีอาการต่างๆ เช่น พูดจาเลือนราง พูดพึมพำ รู้สึกง่วงนอน ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง หายใจช้าและตื้น ชีพจรอ่อนลง เป็นต้น ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาภาวะตัวเย็นเกินโดยเร็ว อาจทำให้ผู้ที่เผชิญภาวะนี้เสียชีวิตได้

โรคหัวใจ เมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเย็น หัวใจอาจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น ซึ่งทำให้อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งอากาศเย็นยังอาจทำให้หลอดเลือดตีบแคบลงจนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ โดยผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย หรือมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจอยู่ก่อนแล้ว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคนี้มากยิ่งขึ้นด้วย

ภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ผู้ที่เผชิญภาวะนี้อาจมีอาการเหมือนผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าทั่วไป แต่จะมีอาการป่วยเป็นช่วงๆ ซึ่งมักเกิดขึ้นในฤดูหนาว และอาการจะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน แต่ผู้ป่วยบางรายก็อาจแสดงอาการในฤดูร้อนต่อไปได้เช่นกัน โดยสาเหตุของภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าช่วงเวลาในตอนกลางวันที่สั้นลงในฤดูหนาวอาจทำให้ร่างกายได้รับแสงแดดน้อยลง จึงอาจส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ภายในร่างกายจนทำให้เกิดภาวะนี้

นอกจากนี้ เชื้อไวรัสบางชนิดอาจแพร่กระจายได้ดีและพบได้มากในช่วงที่มีอากาศหนาว เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสอาร์เอสวี หรือไวรัสโรต้า เป็นต้น จึงอาจทำให้คนที่อยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็นป่วยง่ายขึ้น และยังมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งชี้ว่า ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายอาจป้องกันไวรัสได้ไม่ดีเมื่ออยู่ในอากาศเย็น รวมถึงอากาศที่หนาวเย็นอาจทำให้ผู้คนใช้เวลาอยู่ภายในอาคารหรืออยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น จึงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ ได้เช่นกัน

12 วิธีดูแลตัวเองรับลมหนาว อากาศดี สุขภาพดี ไม่มีป่วย

12 วิธีดูแลตัวเองรับลมหนาว อากาศดี สุขภาพดี ไม่มีป่วย

  1. ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และกินอาหารที่สะอาดและปรุงสุกใหม่ๆ        
  2. ดื่มน้ำมากๆ โดยแนะนำเป็นน้ำอุณหภูมิปกติ หรือดื่มน้ำอุ่น น้ำสมุนไพรที่มีฤทธิ์เผ็ดร้อน เพื่อช่วยการไหลเวียนของโลหิต อาทิ น้ำตะไคร้ น้ำขิง น้ำชาผลไม้ต่างๆ หรือเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายด้วยช็อกโกแลตอุ่นๆ ข้าวโอ๊ตบด ซุปฟักทอง ก็ดีไม่แพ้กัน
  3. ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสุขพกายที่แข็งแรง และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
  4. เสริมการกินผัก ผลไม้ และสมุนไพรรสเปรี้ยว เพื่อเพิ่มไฟเบอร์และวิตามินซีช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ บรรเทาอาการไอ และช่วยทำให้ชุ่มคอ
  5. อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท ไม่เข้าไปในที่แออัด และหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ และไม่ควรใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จาน ชาม ช้อน เป็นต้น
  6. หากเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ควรมีผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอ จาม และไม่คลุกคลี กับผู้อื่นและหมั่นล้างมือบ่อยๆ หรือแนะนำให้ไปฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่โรงพยาบาลจะดีกว่า
  7. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และยาเสพติดต่างๆ เนื่องจากอาจทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมและมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
  8. ไม่ควรดื่มเหล้าแก้หนาว เพราะจะทำให้หัวใจวายเสียชีวิตได้
  9. รักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ในที่ที่หนาวมาก ควรสวมเสื้อผ้าหนาๆ หรือห่มผ้าเพื่อช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย และสวมหมวกเพื่อลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย
  10. ใส่ใจดูแลเรื่องผิวหนังเป็นพิเศษ เพราะอากาศหนาวทำให้มีความชื้นในอากาศน้อย ผิวหนังและปากจึงแห้งแตก แนะนการทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ใส่เสื้อผ้ามิดชิด ถ้าอากาศหนาวมาก ไม่อาบน้ำนานๆ ในที่ที่หนาวมาก หลังอาบน้ำควรทาโลชั่นหรือน้ำมันทาผิว ในกรณีที่มีปัญหาริมฝีปากแตก ควรทาด้วยลิปสติกมันและไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อยๆ
  11. หลีกเลี่ยงการก่อกองไฟเพื่อการผิงไฟ เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ ทั้งยังเป็นการสูดเขม่าควันไฟจากการเผาไหม้ที่กระทบกับสุขภาพปอดในอนาคต แนะนำให้ใช้ขวดน้ำร้อนหรือผ้าห่มไฟฟ้าเพื่อช่วยให้เตียงอุ่นขึ้น แต่ไม่ควรใช้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน
  12. สำหรับผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นโรคปอด โรคหัวใจ หรือเคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวก ไม่ควรออกนอกบ้านในวันที่มีอากาศเย็นจัด และควรทำให้อุณหภูมิภายในบ้านสูงกว่า 18 องศาเซลเซียส

เพียงเท่านี้ก็พร้อมแฮปปี้กับอากาศดีในช่วงนี้แบบไม่กลัวป่วยกันแล้ว

logoline