svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Health & Lifestyle

8 ตำแหน่งปวดท้อง สัญญาณเตือนหลายโรคร้าย พบบางจุดมีผลต่อหัวใจ

8 ตำแหน่งของอาการปวดท้อง สัญญาณเตือนหลายโรคร้ายที่ไม่ควรมองข้าม พบบางจุดมีผลต่อหัวใจ การสังเกตอาการ แบบไหนต้องรีบพบแพทย์

เว็บไซต์ รามาชาแนล (ramachannel) ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งปวดท้องในจุดต่างๆบ่งบอกโรคอะไรบ้าง

 

อาการปวดท้อง หลายคนมองข้ามและเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่จริง ๆ แล้วมีหลายโรคร้ายซ่อนอยู่ภายใต้อาการปวดเหล่านั้นมากมาย

 

โดยตำแหน่งปวดท้อง มีทั้งสิ้น 8 จุด การสังเกตอาการ อาการแบบไหนต้องรีบไปพบแพทย์ ดังนี้

 

1.ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา เป็นตำแหน่งของตับและถุงน้ำดี หากกดแล้วเป็นก้อนแข็ง ๆ พร้อมกับอาการตัวเหลือง หมายถึงความบกพร่องของตับและถุงน้ำดี

2.ปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ 

  • ปวดใต้ลิ้นปี่ ร่วมกับเจ็บหรือแน่นหน้าอก อาจเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
  • ปวดใต้ลิ้นปี่ เป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร หากปวดรุนแรงหรืออาเจียนด้วยอาจเป็นตับอ่อนอักเสบ
  • ปวดใต้ลิ้นปี่ หากคลำเจอก้อนเนื้อขนาดใหญ่และแข็งแสดงว่าตับโต หรือหากคลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็ก ๆ อาจเป็นกระดูกลิ้นปี่
  • ปวดใต้ลิ้นปี่ หากท้องอืดแน่นท้องเป็น ๆ หาย ๆ เป็นเวลานาน อาจเป็นนิ่วในถุงน้ำดี

 

3.ปวดท้องบริเวณชายโครงซ้าย ตรงกับตำแหน่งของม้าม ไม่ควรปล่อยไว้ควรรีบพบแพทย์ทันที

8 ตำแหน่งปวดท้อง สัญญาณเตือนหลายโรคร้าย พบบางจุดมีผลต่อหัวใจ

 

4.ปวดบริเวณบั้นเอวขวาหรือบั้นเอวซ้าย

  • ตำแหน่งตรงกับไตและท่อไต
  • ปวดเอวร่วมกับปัสสาวะเป็นเลือด อาจเป็นนิ่วที่ไต จะเป็นข้างใดข้างหนึ่งหรือสองข้างก็ได้ ซึ่งจะมีอาการปวดมากจนเหงื่อออก
  • ปวดร้าวถึงต้นขา เป็นอาการเริ่มต้นของนิ่วในท่อไต
  • ปวดเอวร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น เป็นกรวยไตอักเสบ
  • หากคลำเจอก้อนเนื้อ ควรรีบไปพบแพทย์

 

5.ปวดท้องบริเวณรอบสะดือ ตรงกับลำไส้เล็ก หากกดแล้วปวดมาก คือ อาการไส้ติ่ง อาการเริ่มแรกของไส้ติ่งอักเสบจะมีอาการปวดท้องรอบ ๆ สะดือ โดยมีอาการปวดบิดเป็นพัก ๆ รอบ ๆ สะดือ คล้ายอาการปวดถ่ายท้องเสีย บางคนก็มีอาการปวดท้องเหนือสะดือร่วมกับถ่ายเหลว หรือท้องเสีย หลังจากนั้นอาการปวดท้องจะย้ายตำแหน่งมาที่ท้องน้อยด้านขวา และมีอาการปวดรุนแรงจนทนไม่ไหว ซึ่งต้องรีบรักษาอย่างเร่งด่วน

 

6.ปวดบริเวณท้องน้อยขวา เป็นตำแหน่งไส้ติ่ง ท่อไต ปากมดลูก และรังไข่ขวา

  • ปวดเกร็งเป็นระยะๆ ร้าวมาที่ต้นขา เป็นอาการกรวยไตอักเสบหรือนิ่วท่อไต
  • ปวดเสียด บีบ ตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมากบริเวณท้องน้อยด้านขวาอาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ
  • ปวดร่วมมีไข้สูง ตกขาว เป็นอาการของปีกมดลูกอักเสบ
  • คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาการก้อนไส้ติ่งอักเสบหรือรังไข่ผิดปกติ

 

7.ปวดบริเวณท้องน้อย ตรงกับกระเพาะปัสสาวะและมดลูก

  • หากมีอาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปวดเวลาปัสสาวะ อาจเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
  • ปวดท้องน้อย มีไข้สูง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น อาจจะเป็นมดลูกอักเสบ
  • ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน มีอาการปวดเรื้อรัง แสดงว่ามดลูกมีปัญหาควรรีบพบแพทย์

 

8.ปวดบริเวณท้องน้อยซ้าย ตำแหน่งปีกมดลูกและท่อไต รังไข่ด้านซ้าย ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย

  • ปวดเกร็งเป็นระยะ ๆ ร้าวมาที่ต้นขา เป็นนิ่วในท่อไต
  • ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น และมีตกขาว อาการของมดลูกอักเสบ
  • ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ เป็นอาการของลำไส้ใหญ่อักเสบ
  • คลำพบก้อนเนื้อร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อุจจาระมีมูกปนเลือด ท้องผูกสลับกับท้องเสีย น้ำหนักลด อาจเป็นอาการเนื้องอกในลำไส้

 

อาการร่วมที่จะต้องมาพบแพทย์ ที่ไม่ใช่แค่ ปวดท้อง

  • ปวดนานมากกว่า 6 ชั่วโมงแล้วอาการเป็นมากขึ้น
  • ปวดจนรับประทานอาหารไม่ได้
  • ปวดท้องและอาเจียนอย่างมาก มากกว่า 3-4 ครั้ง
  • ปวดท้องมากขึ้นเมื่อขยับตัว
  • ปวดที่บริเวณท้องน้อยด้านขวา
  • ปวดท้องรุนแรง นอนไม่ได้
  • ปวดร่วมกับเลือดออกจากช่องคลอด
  • ปวดท้องและมีไข้ร่วมด้วย

 

อาการปวดท้อง อาจไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แม้ว่าจะปวดเพียงเล็กน้อยก็ควรสังเกตตัวเองและไม่ควรละเลย หากเกิดอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ หากปล่อยไว้เรื้อรังอาจจะสายเกินแก้ได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.พญ.ศุภมาส เชิญอักษร สาขาวิชาโรคทางเดินอาหารและตับ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล , ramachannel