svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

PM 2.5 ไม่ควรมีใครต้องตาย เพียงเพราะหายใจ

ฤดูกาลเมืองจมฝุ่น กับอากาศที่ประชาชนไม่ได้เลือก เมื่อสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เริ่มกลับทวีความรุนเเรงอีกครั้ง แม้เเต่หายใจยังลำบาก

"ฤดูกาลเมืองไทยจมฝุ่น" กลับมาอีกครั้งพร้อมกับสถานการณ์ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ดูเหมือนจะมาเร็วกว่าปกติในปีนี้ ภายในเวลาไม่นาน ประเทศไทยก็ขึ้นแท่นอันดับ 8 ของโลกในสถานการณ์มลพิษทางอากาศ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความสำเร็จที่ควรภาคภูมิใจ แต่กลับสะท้อนถึงปัญหาที่กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างรุนแรง   

 

ถึงเเม้ปัญหา PM 2.5  เป็นปัญหาที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ เเละให้ความสำคัญ ถึงขั้นมีการยกประเด็นนี้ขึ้นมาในนโยบายการเมืองหลายครั้ง แต่ปัญหานี้ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม และกำลังถูกเบี่ยงเบนไปจากต้นตอที่แท้จริง  

 

ช่วงที่ผ่านมา พบค่าฝุ่นเกินกว่าค่ามาตรฐาน ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครฯ และปริมณฑล ที่ค่าฝุ่นสูงจนอยู่ในระดับที่เป็นอันตราย โดยโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร สั่งปิด รร.เนื่องจากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน ระหว่างวันที่ 20 - 24 มกราคม 2568 มีจำนวน 352 โรงเรียน

จากจำนวนโรงเรียนสังกัด กทม. ทั้งหมด 437 โรงเรียน คิดเป็น 81% โดยปิดทุกโรงเรียน ใน 31 เขต และเขตที่เหลือสั่งปิดบางส่วนที่ได้รับผลกระทบ ในขณะเดียวกันบริษัทหลายแห่งหันมาปรับให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน (WFH) และกิจกรรมกลางแจ้งแทบจะหยุดชะงัก  

 

ในขณะที่ประชาชนบางส่วนเริ่มได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพ พบความผิดปกติ เกิดอาการไอจาม หายใจติดขัด เลือดกำเดาไหลต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หลังจากที่สถานการณ์ PM 2.5 เริ่มกลับทวีความรุนเเรงขึ้นอีกครั้ง

 


PM 2.5 อันตรายมากกว่าคำว่าฝุ่น

 

PM 2.5 คือ ฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน มีขนาดเล็กประมาณ 1 ใน 25 ส่วนของเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผม เป็นฝุ่นที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไม่มีกลิ่น ขนาดเล็กมาก ซึ่งขนจมูกไม่สามารถกรองได้ ทำให้สามารถผ่านเข้าไปในร่างกายเรา เเละลึกได้ถึงถุงลมปอด

บางส่วนสามารถเล็ดรอดผ่านผนังถุงลมเข้าเส้นเลือดฝอยล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด และกระจายตัวแทรกซึมไปทั่วร่างกายของเราได้ สามารถลอยในอากาศได้นานและไกลถึง 1,000 กิโลเมตร และมักมีสารพิษที่ติดมากับฝุ่น  หากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ล่องลอยอยู่ในอากาศปริมาณมาก จะเห็นท้องฟ้าเป็นสีหม่น หรือเกิดเป็นหมอกควัน ดังจะเห็นได้จากสถานการณ์ในช่วงนี้ 

 

PM 2.5 ไม่ควรมีใครต้องตาย เพียงเพราะหายใจ

 

PM 2.5 มีเเหล่งกำเนิดจากสองเเหล่งกำเนิด ได้เเก่ การกำเนิดโดยตรงจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้ในที่โล่ง การคมนาคมขนส่งการสูบบุหรี่ เป็นต้น และเเละเกิดจากการรวมตัวกันของก๊าซอื่นๆ ในบรรยากาศ โดยเฉพาะซันเฟอร์ไดออกไซด์ และออกไซด์ของไนโตรเจน รวมทั้งสารพิษอื่น ๆ ที่ล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกาย

 

PM 2.5 ไม่ควรมีใครต้องตาย เพียงเพราะหายใจ

PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อด้านสุขภาพ ในระยะสั้นอาจทําให้เกิดอาการ ไอ จาม ส่งผลกระทบทางด้านผิวหนัง อาจมีผื่นคันตามตัว และหากผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ จะยิ่งถูกกระตุ้นให้เกิดอาการมากยิ่งขึ้น และหากสะสมไปในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น  อันตรายจากฝุ่น PM2.5 นั้นสามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางพาสารอื่นๆ เข้า สู่ปอด ด้วยการให้สารเหล่านั้นมาเคลือบมาบนผิว ของฝุ่น เช่น สารก่อมะเร็ง สารโลหะหนัก เป็นต้น อาจส่งผลก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผลกระทบทางด้านผิวหนัง อาจมีผื่นคันตามตัว 

 

แม้ที่ผ่านมาจะมีการผลักดันนโยบายเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 แต่ปัญหายังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม เราในฐานะประชาชนต้องตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันตนเอง เช่น การหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง การใช้หน้ากากที่เหมาะสม เช่น N95 หรือ PM 2.5 ที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกัน แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการบรรเทา ไม่ใช่การแก้ไขที่ต้นเหตุ 

 

ถึงเวลาที่เราต้องแก้ปัญหาอย่างจริงจัง การแก้ไขปัญหา PM 2.5 ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง แต่ต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชน การลดการเผาไหม้ การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และการสร้างนโยบายที่ยั่งยืนคือกุญแจสำคัญ   เราไม่ควรยอมรับให้คุณภาพอากาศที่เลวร้ายกลายเป็น "ความปกติใหม่" เพราะไม่มีใครควรเสียชีวิตเพียงเพราะการหายใจ 

 

PM 2.5 ไม่ควรมีใครต้องตาย เพียงเพราะหายใจ


 

ขอบคุณ : กระทรวงสาธารณสุข   / โรงพยาบาลศิริราชการุณ์