svasdssvasds
เนชั่นทีวี

รักษ์โลก

'บุหรี่ไฟฟ้าใช้แล้วทิ้ง' สร้างปัญหาขยะ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

หลายประเทศเริ่มแบน "บุหรี่ไฟฟ้า" โดยเฉพาะชนิดใช้แล้วทิ้ง หวั่นเพิ่มนักสูบหน้าใหม่ ห่วงไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องสุขภาพเท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

"บุหรี่ไฟฟ้า" ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้ที่พยายามเลิกบุหรี่และยังคงใช้เพื่อจุดประสงค์นี้เป็นสำคัญ แต่ด้วยการคิดค้นต่อยอดทำให้เกิด "บุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้ครั้งเดียว" ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง คือ ขยะที่เหลืออยู่หลังจากการใช้แล้ว ต่อเนื่องถึงการผลิตพลาสติก การขุดหาวัสดุ การขนส่ง และบรรจุภัณฑ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวนั้นไม่มีความยั่งยืน ซ้ำบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งยังยากต่อการรีไซเคิล เนื่องจากทำมาจากวัสดุผสม เช่น พลาสติก ทองแดง และแบตเตอรีลิเธียม ซึ่งได้รับการออกแบบให้เป็นหน่วยเดียว หมายความว่าแบตเตอรีไม่สามารถแยกออกจากเปลือกพลาสติกและวัสดุอื่นๆ ได้โดยง่าย ทำให้การกำจัดและรีไซเคิลเป็นเรื่องยาก

การทิ้งบุหรี่ไฟฟ้าอย่างไม่เหมาะสมสามารถสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมได้หลายด้าน เช่น

ปัญหาขยะ: บุหรี่ไฟฟ้าทิ้งไว้ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพราะเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ยากต่อการย่อยสลายและต้องการเวลานานในการย่อยสลาย นอกจากนี้ยังส่งผลต่อท้องถิ่นที่ต้องดูแลรักษาเพิ่มเติมในการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างเหมาะสม

ผลกระทบต่อสุขภาพ: การทิ้งบุหรี่ไฟฟ้าอย่างไม่เหมาะสมอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนในสังคมด้วย เนื่องจากอาจมีการปล่อยสารพิษที่อาจกระทบต่อชีวิตของคนรอบข้าง

'บุหรี่ไฟฟ้าใช้แล้วทิ้ง' สร้างปัญหาขยะ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

นักวิชาการห่วงบุหรี่ไฟฟ้า "ทำลายสิ่งแวดล้อม" เผยแบตเตอรีลิเธียมไอออนทำปนเปื้อนทั้งพลาสติก นิโคติน โลหะหนัก

รศ.ดร.เนาวรัตน์ เจริญค้า อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสุขาภิบาล คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะทำงานศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) เคยกล่าวถึงกรณีคนตายจากบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บุหรี่ไฟฟ้าไม่เพียงทำลายสุขภาพ ยังทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งจากรายงานอันตรายจากขยะที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้า โดยสำรวจการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้าบริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก ปี 2561-2562 โดยกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนมัธยม 18,831 คน ในโรงเรียนมัธยม 12 แห่ง ผลการศึกษาพบว่าของเสียจากผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า มีพลาสติก นิโคติน และโลหะหนัก ตลอดจนสารพิษอื่นๆ ในแบตเตอรีลิเธียมไอออน เป็นอันตรายปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม เนื่องมาจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดดของเยาวชนในสหรัฐฯ ทำให้เกิดขยะทำลายสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก

ขณะที่กลุ่มวิจัย Euromonito ระบุว่า ถ้าไม่มีการห้ามใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง คนสูบบุหรี่ไฟฟ้าทั่วโลกจะสูงขึ้น และจะมีอุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้านับล้านที่จะถูกกำจัดอย่างไม่เหมาะสม ทั้งนี้ กล่าวได้ว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้านอกจากจะได้รับการประกาศว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพที่ร้ายแรง ยังสร้างภัยพิบัติครั้งใหญ่ในการทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยในปี 2560 สหรัฐมีอุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้า 565 ประเภทในตลาด และมี 184 ชนิดที่ใช้แล้วหมดหรือใช้ครั้งเดียว ซึ่งเมื่อทิ้งผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะเป็นขยะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ด้าน Alliance Against Tobacco (ACT) หรือกลุ่มพันธมิตรต่อต้านยาสูบ เผยผลสำรวจที่เก็บจากเด็กอายุ 13–16 ปี พบว่ากว่า 13 เปอร์เซ็นต์ของเด็กกลุ่มนี้เคยลองสูบบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งอย่างน้อย 1 ครั้ง และเคยลองครั้งแรกเมื่ออายุ 11–12 ปี

ทั้งนี้ ผลสำรวจจาก Material Focus ยังพบว่ามีบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งถูกทิ้งไม่ต่ำกว่า 1 ล้านชิ้นต่อสัปดาห์ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้เต็มด้วยสารเคมีจากแบตเตอรี นิโคติน โลหะหนัก และพลาสติก

 

  • ฝรั่งเศสเตรียมแบนบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งด้วยเหตุผลจากความอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา เอลิซาเบธ บอร์น นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส กล่าวผ่านสถานีทางวิทยุ RTL ว่า มาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง เป็นส่วนหนึ่งของแผนการต่อต้านการสูบบุหรี่ใหม่ที่รัฐบาลร่างขึ้น ทั้งนี้ นักรณรงค์กล่าวว่าแผนดังกล่าวควรจะมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปีนี้

ขณะที่ปัจจุบันหลายประเทศในยุโรป รวมถึงเยอรมนี เบลเยียม และไอร์แลนด์ ได้ประกาศการแบนบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งในลักษณะเดียวกันนี้ ทั้งนี้ สหราชอาณาจักรเองก็เป็นอีกหนึ่งประเทศ ที่กำลังพิจารณาการแบนบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งด้วย

 

  • ออสเตรเลียเตรียมเข้มงวดแบนบุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น หวั่นเยาวชนติดนิโคติน ให้เฉพาะทางการแพทย์

ก่อนหน้านี้ Mark Butler รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของออสเตรเลีย ได้กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าทำให้คนรุ่นใหม่ในประเทศติดนิโคตินมากขึ้น กระทรวงจึงเตรียมออกมาตรการใหม่ เน้นไปที่การปราบปรามการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง และบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่ได้ถูกใช้งานเพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์ จากเดิมที่ค่อนข้างเข้มงวดกับบุหรี่ไฟฟ้าอยู่แล้ว และอนุญาตให้ใช้เฉพาะทางการแพทย์หรือมีใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้น หากเป็นการนำเข้าหรือจำหน่ายเพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์ต้องมีฉลากแบบเดียวกับเวชภัณฑ์อื่นๆ รวมถึงระบุรายละเอียดของผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น รส กลิ่น ปริมาณนิโคติน แต่ทั้งนี้รัฐบาลก็จะปรับให้ใบสั่งยาจากแพทย์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งมาตรการที่ว่านี้ รอกำหนดบังคับใช้ต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ ออสเตรเลียมีกฎห้ามการซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าที่เข้มงวดอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีการซื้อขายใต้ดินเกิดขึ้น จนบุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นกิจกรรมเพื่อความบันเทิง เกิดเป็นปัญหาติดนิโคตินในกลุ่มเยาวชน โดยเฉพาะในโรงเรียน ซึ่ง Butler มองว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นเพียงการสูบบุหรี่ในรูปแบบใหม่ ที่เปลี่ยนแพ็คเกจ เพิ่มรสชาติ แต่สุดท้ายผลจะตกอยู่ที่การติดนิโคตินอยู่ดี นั่นอาจไม่เกินจริงนัก จากผลการสำรวจ 1 ใน 6 ของเด็กอายุ 14-17 ปี และ 1 ใน 4 ของวัยรุ่นอายุ 18-24 ปี มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง 

 

  • เวลส์คุมบุหรี่ไฟฟ้าหวังช่วยผู้สูบเลิกบุหรี่ได้และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

Owen Derbyshire ประธานเจ้าหน้าที่บริหารองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมในเวลส์อย่าง Keep Wales Tidy กล่าวว่า องค์กรและงานเทศกาลควรแบนบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง เนื่องจากพบบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งบนพื้นถนนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม นาย Owen เน้นย้ำว่าองค์กรไม่ได้ต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าแต่อย่างใด

“องค์กรของเราไม่ได้ต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าแต่อย่างใด ปัญหาที่เรากังวลเป็นเรื่องของพลาสติกชนิดแข็งและแบตเตอรี่ในบุหรี่ไฟฟ้าที่เรามองว่าอาจะสร้างผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม”

ก่อนหน้านี้ งานเทศกาล Glastonbury ก็ได้ระบุให้บุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ห้ามนำเข้างานเทศกาล ขณะที่งานเทศกาลอื่นๆ ก็เริ่มทยอยพิจารณาการแบนบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม Suzanne Cass ประธานเจ้าหน้าที่บริหารขององค์กร Ash Wales องค์กรสนับสนุนสังคมไร้ควันในเวลส์ ได้กล่าวว่า “เราเข้าใจดีถึงข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ แต่เราก็กังวลเช่นกันว่าการแบนผลิตภัณฑ์แบบใช้แล้วทิ้งเหล่านี้จะมีผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจตามมาต่อผู้ที่พยายามเลิกบุหรี่”

ทั้งนี้ ในประเทศที่บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเวลส์ สหราชอาณาจักร สวีเดน หรือนิวซีแลนด์ ล้วนมีจุดร่วมคือการที่รัฐบาลพยายามหาวิธีที่จะสร้างสมดุลระหว่างผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการป้องกันการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน กับผลประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้สูบบุหรี่ เป็นการชี้ชัดว่าการทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายนั้นเกิดขึ้นหลังผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบและมีมาตรการควบคุมที่ชัดเจน และไม่มีการทิ้งคนกลุ่มใดไว้ข้างหลัง