svasdssvasds
เนชั่นทีวี

รักษ์โลก

เมนูอาหารกับคะแนนคาร์บอนเพื่อการร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม

เมื่อ 34% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโลกมาจากการผลิตอาหาร!!! ทางเลือกอย่าง 'วีแกน' กับ 'คีโต' จึงมาแรง ซึ่งหากบวกกับคะแนนคาร์บอนเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม อย่างไหนให้คาร์บอนเครดิตมากกว่า

ปัจจุบันในโลกตะวันตก อาหาร "วีแกน" และอาหาร "คีโต" ได้รับความนิยมสูง อาหารวีแกน (Vegan) คือมังสวิรัติสมบูรณ์ งดเนื้อ นม ไข่ น้ำผึ้ง รวมถึงสิ่งที่มีขั้นตอนการผลิตจากสัตว์ งดสิ่งที่ใช้การทดลองกับสัตว์ ขณะที่อาหารมังสวิรัติแบบตะวันตก หรือ vegetarian เน้นพืชผัก แม้งดเนื้อสัตว์ทว่ายังอนุญาตนม ไข่ น้ำผึ้ง กลุ่มนี้แยกเป็นแบบกินไข่ (ovo-vegetarian) กินนม (lacto-vegetarian) หรือทั้งไข่ทั้งนม (lacto-ovo vegetarian) ส่วนอาหารคีโต (keto diet) ไม่ใช่มังสวิรัติ ลดแป้งและน้ำตาล เน้นไขมันกับโปรตีน

เมนูอาหารกับคะแนนคาร์บอนเพื่อการร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม

อาหารอย่างไหนให้คาร์บอนเครดิตสูงกว่ากัน

รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า กรณีนี้จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องคาร์บอนเครดิตกันก่อน สำหรับเรื่องคาร์บอนเครดิต (carbon credit) หรือคาร์บอนฟุตพริ้นท์เครดิต (carbon footprint credit) เป็นข้อตกลงระดับนานาชาติว่ากันด้วยสิทธิของแต่ละประเทศที่ได้จากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่บรรยากาศ โดยพิจารณาคาร์บอนไดออกไซด์แต่ละตันที่ถูกกำจัดออกจากชั้นบรรยากาศ ซึ่งคาร์บอนเครดิตสามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้โดยบุคคลทั่วไป เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม หรือจากยานพาหนะในการขนส่ง หรือการเดินทาง

การศึกษาที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติใน ค.ศ. 2021 พบว่า 34% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโลกมาจากการผลิตอาหาร โดยการผลิตเนื้อวัวมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยคาร์บอนมากกว่าการผลิตไก่ 8-10 เท่า มากกว่าการผลิตถั่วและพืชตระกูลถั่วถึง 20 เท่า

 

หากอยากได้คาร์บอนเครดิต หรือคาร์บอนฟุตพรินต์เครดิตสูงๆ จึงต้องรณรงค์การบริโภคมังสวิรัติ ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อวัว เนื้อหมู การศึกษาใหม่จาก Tulane university รัฐหลุยเซียนา ใช้ข้อมูลจากอาหารกว่า 16,000 รายการ ตีพิมพ์ในวารสาร The American Journal of Clinical Nutrition เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 ให้ข้อสรุปว่า

อาหารคีโตที่เน้นไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ สร้างคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดเกือบ 3 กิโลกรัมต่อทุก 1,000 กิโลแคลอรี่ที่บริโภค อาหารพาเลโอ (Paleo diet) งดธัญพืชและถั่ว เน้นเนื้อสัตว์ ผัก มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 2.6 กก. ต่อ 1,000 กิโลแคลอรี

 

ขณะที่อาหารวีแกนสร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศน้อยที่สุด โดยสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.7 กิโลกรัมต่อการบริโภค 1,000 กิโลแคลอรี่ รองจากวีแกนคือ มังสวิรัติ และเพสคาทาเรียน (pescatarian) ซึ่งเป็นมังสวิรัติที่อนุญาตให้บริโภคปลา

 

มหา’ลัยแมสซาชูเซตส์ ริเริ่ม ‘ติดฉลากคาร์บอน’ บนเมนูในโรงอาหาร อีกหนึ่งวิธีช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์

ในปี 2022 มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์แอมเฮิร์สต์ (University of Massachusetts Amherst : UMass) ดำเนินการติดฉลากคาร์บอนแสดงปริมาณคาร์บอนไว้บนเมนูอาหารทุกรายการภายในโรงอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจของการขยายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ภายในปี 2575 หรือ การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์

โดยฉลากคาร์บอนจะช่วยให้นักศึกษาพิจารณารายการอาหารที่ตนเองซื้อได้ว่าจะสร้างปริมาณคาร์บอนเท่าใด เนื่องจากผลสำรวจพบว่าการผลิตอาหาร คิดเป็นอย่างน้อยหนึ่งในสี่ของการก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว UMass จะกลายเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาที่สร้างความตระหนักถึงปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (carbon footprint) ที่ใช้บนรายการเมนูอาหาร

ฉลากคาร์บอน (carbon labelling) เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้ผู้บริโภครู้ว่าสินค้าที่ซื้อสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร ซึ่งฉลากคาร์บอน จะแสดงข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ โดยแสดงผลอยู่ในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 equivalent) แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

เมนูอาหารกับคะแนนคาร์บอนเพื่อการร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม

ภาพ : ฉลากบ่งชี้ระดับการปล่อยคาร์บอน (carbon rating) จาก wbur.org

  1. ฉลากบ่งชี้การปล่อยคาร์บอนต่ำ (low-carbon seal)
  2. ฉลากบ่งชี้ระดับการปล่อยคาร์บอน (carbon rating)
  3. ฉลากระบุขนาดคาร์บอน (carbon score)
  4. ฉลากชดเชยคาร์บอน (carbon offset/neutral)

สำหรับฉลากคาร์บอนที่แสดงบนรายการอาหารของ UMass เป็นฉลากลักษณะบ่งชี้ระดับการปล่อยคาร์บอน 

ปรากฏว่าผลการสำรวจนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยในฤดูใบไม้ร่วงปี 2564 มากกว่า 800 คน พบว่านักศึกษาร้อยละ 88 ระบุว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกซื้อ พร้อมทั้งเผยว่านักศึกษาตระหนักถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบริโภคอาหารนักศึกษาร้อยละ 75 ระบุว่า อาหารที่เลือกรับประทานมีผลต่อการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนักศึกษาร้อยละ 76 ระบุว่า การช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของแต่ละคนก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ UMass จึงพยายามสร้างกรอบการทำงานในการเลือกรับประทานอาหารอย่างมีสติ ซึ่ง UMass ตั้งเป้าหมายว่า นักศึกษาจำนวน 28,635 คน จะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในการช่วยกำหนดทางเลือกต่อการตัดสินใจเลือกซื้ออาหารได้

 

การติดฉลากคาร์บอนริเริ่มโครงการระยะแรกในช่วงสัปดาห์คุ้มครองโลก ปีที่ผ่านมา มีการจัดระดับการปล่อยคาร์บอน ตั้งแต่ A ถึง E สำหรับรายการเมนูอาหารทั้งหมดของโรงอาหารในแมสซาชูเซตส์ (Hampshire Dining Commons) โดยจะมีฉลากบ่งชี้ระดับการปล่อยคาร์บอนไว้ทั้งบนเมนูอาหารทั่วไป เมนูอาหารออนไลน์ และเมนูอาหารบนแอปพลิเคชัน UMass Dining ซึ่งจะแสดงข้อมูลระบุปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของอาหารแต่ละจาน และข้อมูลกระบวนการต่าง ๆ ของการผลิตอาหารตั้งแต่การใช้น้ำ การจัดเก็บและการขนส่ง ทั้งนี้เพื่อสร้างวิธีการสื่อสารที่ชัดเจนและรัดกุมในการให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภค 

เมนูอาหารกับคะแนนคาร์บอนเพื่อการร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม

ภาพ : by My Emissions.

ในการดำเนินโครงการนี้ UMass ได้ร่วมมือกับ My Emissions ผู้ให้บริการชั้นนำด้านฉลากคาร์บอนในอาหาร นำกระบวนการมาตรฐานและวิธีการที่ง่ายในการคำนวณระดับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ มาใช้ในการกำหนดมาตราส่วนการให้ระดับคะแนน การแยกองค์ประกอบสัดส่วนของคาร์บอน โดย My Emissions ได้พัฒนามาตราส่วนการให้ระดับคาร์บอนตั้งแต่ A ถึง E ซึ่งบ่งชี้ตามค่าความเข้มข้นของคาร์บอน เช่น ฉลาก “A” บ่งชี้การปล่อยคาร์บอนระดับต่ำ และฉลาก “E” บ่งชี้การปล่อยคาร์บอนระดับสูงมาก เพื่อแสดงให้ผู้บริโภคเห็นถึงผลกระทบต่อการเลือกซื้ออาหาร

 

Matthew Isaacs ผู้ร่วมก่อตั้ง My Emissions กล่าวว่า “การรับประทานอาหารคาร์บอนต่ำเป็นอีกหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ …ฉันหวังว่าการเปิดตัวฉลากคาร์บอนในสหรัฐอเมริกา จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจในการเลือกซื้อที่ยั่งยืนได้มากขึ้น พร้อมเป็นแรงบันดาลใจให้สถาบันอื่น ๆ อีกหลายแห่งปฏิบัติตามได้ด้วยแนวทางของตนเอง”

อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยหลายร้อยแห่งในสหรัฐอเมริกา นอกเหนือจาก UMass ก็ได้เริ่มตระหนักถึงปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่เกิดขึ้นจากการผลิตอาหารและเตรียมแผนเริ่มปรับเปลี่ยนมาสร้างสรรเมนูอาหารจากพืชเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกันกับผู้ให้บริการด้านอาหารและสิ่งอำนวยความสะดวก โซเด็กซ์โซ่ (Sodexo) ที่เปิดเผยว่า เพื่อเร่งการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์บริษัทได้กำลังศึกษาการเปลี่ยนแปลงเมนูอาหาร 42 เปอร์เซ็นต์เป็นอาหารมังสวิรัติ เพราะจากการศึกษาพบข้อมูลว่าการปล่อยมลพิษส่วนใหญ่มาจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์และนม และด้วยมลพิษที่เกิดจากการผลิตอาหารส่งผลให้ปัจจุบันคนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจต่อการบริโภคอาหารมากยิ่งขึ้น

 

source : www.drwinai.com , www.sdgmove.com