
เดวิด เวสตัน รองประธานไมโครซอฟท์ โพสต์ในบล็อกเมื่อวันเสาร์ (20 กรกฎาคม) ว่า จากการประเมินขณะนี้ คาดว่า การอัปเดตซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ CrowdStrike ส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8.5 ล้านเครื่อง ซึ่งจำนวนนี้น้อยกว่า 1% ของอุปกรณ์ที่ใช้วินโดวส์ทั้งหมดทั่วโลก แต่ส่งผลกระทบทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง เนื่องจากมีการใช้ซอฟต์แวร์ CrowdStrike ในกลุ่มผู้ประกอบการและองค์กรที่ให้บริการสำคัญ ๆ จำนวนมาก
ไมโครซอฟท์รายงานตัวเลขดังกล่าวเป็นครั้งแรก ซึ่งอาจเป็นผลกระทบทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา หลังจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้วินโดวส์หยุดทำงาน เกิดอาการจอฟ้าค้าง เพราะการอัปเดตซอฟต์แวร์อัตโนมัติของบริษัท CrowdStrike เมื่อวันศุกร์ (19 กรกฎาคม) ทำให้ระบบไอทีล่มครั้งใหญ่ ส่งผลให้บริการต่าง ๆ หยุดชะงัก ทั้งในธุรกิจสายการบิน ธนาคาร สถานพยาบาล ซูเปอร์มาร์เก็ต สื่อมวลชน เป็นต้น
ผู้เชี่ยวชาญ คาดว่า อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะสามารถกู้ระบบให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ
ก่อนหน้านี้ในปี 2560 เกิดการโจมตีทางไซเบอร์ของมัลแวร์เรียกค่าไถ่ WannaCry กระทบคอมพิวเตอร์ราว 300,000 เครื่องใน 150 ประเทศ และบริการของเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และวอตส์แอปของ เมตา ล่มนาน 6 ชั่วโมงในปี 2564