สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (DEA) ของสหรัฐฯ เสนอให้ลดระดับของกัญชาจาก “สารเสพติดควบคุมประเภทที่ 1” (Schedule I) เป็น “สารเสพติดควบคุมประเภทที่ 3” (Schedule III) ภายใต้กฎหมายสารเสพติดควบคุม (Controlled Substances Act)
ในทางเทคนิคแล้ว ข้อเสนอนี้ยังต้องรอการทบทวนจากสำนักงานบริหารจัดงานและงบประมาณของทำเนียบขาว และต้องผ่านการรับฟังความเห็นจากประชาชนและการทบทวนของผู้พิพากษาศาลปกครอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน แต่ก็เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่น่าตื่นเต้น
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากในปีที่แล้วประธานาธิบดีโจ ไบเดน ขอให้กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ และรัฐมนตรียุติธรรม ที่กำกับดูแล DEA ทบทวนการจัดประเภทสารเสพติดของกัญชาที่ปัจจุบันอยู่ในระดับเดียวกับเฮโรอีน , แอลเอสดี และเอ็กซ์ตาซี เป็นต้น โดยไบเดนสนับสนุนการอนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมาย
การปรับลดให้กัญชาอยู่ในกลุ่มสารเสพติดควบคุมประเภทที่ 3 จะช่วยลดช่องว่างระหว่างกฎหมายสหรัฐฯ และกรอบกฎหมายในระดับรัฐ ซึ่ง 38 รัฐ มีกฎหมายอนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์ และ 24 รัฐ ให้ใช้กัญชาเพื่อนันทนาการได้ โคโลราโดและวอชิงตันเป็น 2 รัฐแรก ที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อนันทนาการอย่างถูกกฎหมายในปี 2555
กัญชาถูกกำหนดให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายในระดับประเทศครั้งแรกในปี 2480 และมักมีเสียงวิจารณ์ว่า การลงโทษคดีกัญชามีการเลือกปฏิบัติต่อเชื้อชาติในระบบยุติธรรม โดยสัดส่วนคนผิวสีถูกจับกุมในคดีครอบครองกัญชามากกว่าคนผิวขาว 3.6 เท่า แม้ใช้ยาในระดับเดียวกัน
ขณะที่ผลสำรวจของศูนย์วิจัยพิวเมื่อเดือนที่แล้ว ระบุว่า ชาวอเมริกัน 88% เห็นว่า กัญชาควรได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์หรือเพื่อนันทนาการ
สารเสพติดควบคุมประเภทที่ 3 ยังอยู่ภายใต้ข้อบังคับที่อนุญาตให้ใช้ในทางการแพทย์บางกรณี และยังมีการดำเนินคดีอาญาต่อบุคคลที่ลักลอบค้ายาโดยไม่ได้รับอนุญาต
การลดระดับกัญชาเป็นประเภทที่ 3 จะไม่มีผลต่อโครงการใช้กัญชาทางการแพทยที่ได้รับใบอนุญาตอยู่แล้วใน 38 รัฐ หรือ ตลาดกัญชาเพื่อนันทนาการอย่างถูกกฎหมายใน 23 รัฐ แต่กัญชาอาจจะไม่ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการผลิต การบันทึกข้อมูล การใช้ใบสั่งยา และอื่น ๆ ที่บังคับใช้กับสารเสพติดประเภทที่ 3
จริง ๆ แล้ว ในช่วงหลายปีนี้มีการดำเนินคดีจากรัฐบาลกลางไม่มากนักสำหรับคดีครอบครองกัญชา แม้ว่ากัญชายังอยู่ภายใต้สารเสพติดควบคุมประเภทที่ 1 แต่การลดระดับลงยังไม่อาจส่งผลให้บุคคลที่อยู่ภายใต้กระบวนการยุติธรรมคดีอาญาในเวลานี้รอดพ้นจากโทษจำคุกได้
แม้อุตสาหกรรมกัญชามีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ แต่เนื่องจากยังคงเป็นสารเสพติดควบคุม ทำให้มีอุปสรรคเรื่องการค้าระหว่างรัฐ ไม่สามาถเข้าถึงบริการด้านสินเชื่อของธนาคาร และมีข้อจำกัดเรื่องเงินทุนสนับสนุนการวิจัยทางการแพทย์
เมื่อกัญชาอยู่ภายใต้สารเสพติดควบคุมประเภทที่ 1 จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะได้รับอนุญาตให้ทำการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับการใช้กัญชา และหากลดลงไปอยู่ในประเภทที่ 3 อาจช่วยให้สามารถทำการวิจัยได้ง่ายขึ้น แต่ยังไม่อาจขจัดอุปสรรคได้ทั้งหมดทันที
ภายใต้ระบบภาษีของสหรัฐฯ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าสารเสพติดควบคุมประเภทที่ 1 หรือ 2 ไม่สามารถได้รับส่วนลดค่าเช่า หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เหมือนธุรกิจอื่น ๆ ทำให้อัตราภาษีที่ต้องจ่ายอาจสูงถึง 70% หรือมากกว่านั้น แต่เมื่อกัญชาอยู่ในประเภทที่ 3 ก็จะทำให้ธุรกิจกัญชาเสียภาษีลดลงอย่างมาก
กลุ่มต่อต้านการปลดล็อกกัญชาให้เป็นสิ่งถูกกฎหมาย มองว่า เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ยอมไฟเขียวให้กับอุตสาหกรรมที่พยายามทำให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย แต่กลุ่มผู้สนับสนุนปลดล็อกกัญชา มองว่า การปรับลดกัญชาเป็นสารเสพติดควบคุมประเภทที่ 3 ยังน้อยเกินไป และจะเดินหน้าผลักดันให้ถอดกัญชาออกจากสารควบคุมอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้การลดการควบคุมกัญชาอาจทำให้เกิดความคลุมเครือ ที่ประชาชนไม่เข้าใจว่า กัญชายังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมายในระดับประเทศ และไม่อาจยุติการจับกุมคดีกัญชา
เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ประธานาธิบดีไบเดน เรียกร้องให้ทบทวนกฎหมายกัญชาของสหรัฐฯ และอภัยโทษแก่ชาวอเมริกันหลายพันคนที่ต้องโทษข้อหาครอบครองกัญชา และเรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐและระดับท้องถิ่นยกเลิกการดำเนินคดีครอบครองกัญชา รวมทั้งบอกว่า บอกว่า ประวัติคดีอาญาเกี่ยวกับการใช้และครอบครองกัญชาสร้างอุปสรรคที่ไม่จำเป็นต่อการจ้างงาน การซื้อบ้าน และโอกาสทางการศึกษา และถึงเวลาแก้ไขเรื่องนี้ให้ถูกต้อง