"Death to death" หรือ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" นี่คือคำประกาศของ ดิมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติของรัสเซีย หลังเกิดเหตุกลุ่มมือปืน 5 คน บุกโจมตีสถานที่จัดการแสดงคอนเสิร์ต "โครคัส ซิตี ฮอลล์" ( Crocus City Hall) ในย่านครัสโนกอสค์ (Krasnogorsk) ชานกรุงมอสโกเมื่อคืนวันศุกร์ (23 มีนาคม 2567) ทั้งยังขว้างระเบิดจนทำให้เกิดเพลิงไหม้รุนแรง และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 60 คน บาดเจ็บเกือบ 160 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กอย่างน้อย 5 คน ซึ่งเป็นเด็กอายุระหว่าง 7-12 ปี ท่ามกลางความวิตกว่าอาจมีคนที่ซ่อนตัวจากมือปืนติดอยู่ข้างใน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วันหลัง ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้รับเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีก 6 ปี และเมดเวเดฟที่เป็นมือขวา และได้รับความไว้วางใจให้ "สลับตำแหน่ง" ประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรี ที่ถือเป็นการ "ซิกแซก" เพื่อให้ปูตินอยู่ในอำนาจยาวขึ้น ได้บอกว่าผู้ก่อการและองค์กรที่อยู่เบื้องหลัง จะถูกไล่ล่าอย่างไร้ความปรานี
"พวกเขาจะได้รับรู้แค่ความหวาดกลัวที่ถูกตอบโต้ ไม่มีการพิจารณาคดีหรือการสอบสวนที่จะช่วยได้ นอกเสียจากการตอบโต้ด้วยกำลัง และการตายด้วยการประหารชีวิตของผู้ก่อการร้าย และการปราบปรามครอบครัวของพวกเขา ที่มันเป็นวิถีแห่งโลก"
ทั้งยังพาดพิงยูเครนด้วยว่า ถ้าพบว่าผู้ก่อการร้ายเหล่านี้เกี่ยวข้องกับยูเครน พวกเขาทั้งหมดก็จะไม่ได้รับความเมตตาและถูกทำลายเช่นเดียวกับผู้ก่อการร้าย รวมทั้ง "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่ป่าเถื่อนด้วย
ฮอลล์แห่งนี้ซึ่งรองรับผู้ชมได้ 6,000 คน กำลังจัดคอนเสิร์ตของวงร็อกยุคโซเวียต "Picnic" ก่อนที่กลุ่มมือปืนสวมชุดลายพราง ได้บุกเข้าไปตอนที่คอนเสิร์ตกำลังจะเริ่มขึ้นและเปิดฉากยิง ทำให้ผู้คนพากันตื่นตระหนก กรีดร้องและหลบอยู่หลังเบาะนั่ง ท่ามกลางเสียงปืนที่ดังอย่างต่อเนื่อง บางคนอุ้มลูกวิ่งหนีทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะหาที่ปลอดภัยได้ที่ไหน แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะวิ่งกรูกันออกไปที่ถนน แต่ในจังหวะนั้น การเบียดเสียดและการเหยียบกันได้เกิดขึ้น เพราะทุกคนวิ่งกรูกันไปที่บันไดเลื่อน และด้วยเพราะเป็นสถานที่ขนาดใหญ่ ทำให้ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์หลายลำไปทิ้งน้ำเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ดับเพลิงดับไฟ ขณะที่ด้านนอกมีรถพยาบาลหลายสิบคันสแตนบายด์ เพื่อรอรับผู้บาดเจ็บ
ทางการรัสเซียได้เผยแพร่ภาพผู้ต้องสงสัย 5 คน ที่อยู่ระหว่างการหลบหนี และคุมเข้มตามสนามบิน, สถานีขนส่งและทั่วทุกพื้นที่ของเมืองหลวง ที่มีผู้อยู่อาศัยกว่า 21 ล้านคน
กลุ่มไอเอสแสดงความรับผิดชอบ
กลุ่มรัฐอิสลาม (Islamic State) หรือ ไอเอส ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตึ โดยประกาศผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเทเลแกรม (Telegram) ว่า
"นักรบไอเอสได้โจมตีสถานที่ชุมนุมขนาดใหญ่ชานกรุงมอสโกของรัสเซีย ก่อนจะถอนกำลังกลับไปยังที่มั่นของพวกเขาโดยปลอดภัย"
ซึ่งตรงกับที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงมอสโกระบุว่าเมื่อต้นเดือนว่า กำลังเฝ้าระวังตามรายงานว่ามีกลุ่มหัวรุนแรงวางแผนโจมตีการชุมนุมขนาดใหญ่ในมอสโก รวมทั้ง "คอนเสิร์ต" และยังเตือนพลเมืองสหรัฐฯ ให้หลีกเลี่ยงการชุมนุมขนาดใหญ่ และหลังเกิดเหตุโจมตีคำเตือนได้เพิ่มเป็นหลีกเลี่ยงการเดินทางไปรัสเซีย
ปูตินไม่ฟังคำเตือน
เมื่อเดือนพฤศจิกายนหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ระบุว่า กลุ่มรัฐอิสลามของแคว้นโคราซาน (ISIS-Khorasan) หรือ ISIS-K ที่เคลื่อนไหวอยู่ในอัฟกานิสถานและปากีสถาน กำลังจ้องโจมตีในรัสเซีย และสหรัฐฯ ได้แบ่งปันข้อมูลให้ทางการรัสเซีย ภายใต้ "นโยบายการเตือนตามหน้าที่" (duty to warn policy) แต่ประธานาธิบดีปูตินกลับประณามสหรัฐฯ ในการแถลงเมื่อวันอังคาร (19 มีนาคม 2567) ว่าเป็นการกระทำที่ยั่วยุไม่ต่างกับการแบล็กเมล และแสดงถึงเจตนาที่จะข่มขู่และทำลายเสถียรภาพของสังคมรัสเซีย
ปูตินเงียบกริบ
ผู้สันทัดกรณีชี้ว่า ปูตินอาจจะเสียหน้าที่เขาไม่ฟังคำเตือนจากสหรัฐฯ จนเกิดเหตุร้ายขึ้น และเป็นความประมาทเลินเล่อของรัสเซีย ทั้งที่มีสัญญาณเตือนอื่นมาก่อนหน้า โดยเฉพาะเดือนมีนาคมเดือนเดียว ทางการรัสเซียต้องรับมือกับเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอส ได้แก่