ไทม์อ้างถึงนายกรัฐมนตรีของไทยว่า เป็นอดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์วัย 62 ปี ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนกันยายน และเดินทางไปต่างประเทศมากกว่า 10 ครั้ง เพื่อโน้มน้าวนักลงทุนรวมทั้ง จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และการประชุม "เวิลด์ อิโคโนมิค ฟอรัม (World Economic Forum) ที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
แคมป์เบลล์ยังบรรยายสภาพภายในห้องประชุมเล็ก ๆ ที่นายกฯ เศรษฐานั่งคุยกับเขาเป็นเวลา 1 ชั่วโมงนั้น รายล้อมไปด้วยกระดานไวท์บอร์ดที่เขานั่งคุยกับ TIME ที่เขียนนโยบายไว้ลวก ๆ เช่น ดิจิทัล วอลเลต (digital wallets), ศูนย์กลางการบินแห่งชาติ, เหมืองแร่โปแตช, Tesla, การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบเป็นรายปี เฉพาะเดือนพฤศจิกายนเพียงเดือนเดียว ได้มีการลงทุนในประเทศไทยโดย Amazon Web Services, Google และ Microsoft มูลค่ารวม 8,300 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเขาบอกว่า
"ผมอยากบอกให้โลกรู้ว่าประเทศไทยกลับมาเปิดรับธุรกิจอีกครั้ง"
ไทม์ระบุว่าในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศที่เป็น "ดินแดนแห่งรอยยิ้ม" (Land of Smiles) แห่งนี้ ต้องเผชิญกับความแตกแยกทางการเมืองอันขมขื่น ซึ่งทำให้กองทัพเข้ายึดอำนาจโดยการรัฐประหารเมื่อปี 2557 และเขียนรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อรับประกันบทบาทการชี้นำโดยกองทัพ แต่ภายใต้ทศวรรษของการปกครองกึ่งทหารที่สับสนวุ่นวาย เศรษฐกิจของไทยซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ซบเซาในขณะที่ความไม่เท่าเทียมกันเพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2561 คนที่รวยที่สุดเพียง 1% ของประเทศ ควบคุมความมั่งคั่งได้ 66.9% (ตามข้อมูลของ Credit Suisse Global Wealth Databook) คนหนุ่มสาวหลายพันคนออกมาเดินขบวนตามท้องถนนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้กองทัพ หยุดก้าวก่ายกระบวนการประชาธิปไตย โดยชูสามนิ้วที่เป็นสัญลักษณ์จากภาพยนตร์ Hunger Games เป็นสัญญาณแห่งความไม่พอใจทั้งสุญญากาศทางประชาธิปไตย และความผิดพลาดทางการคลัง
การเติบโตของ GDP โดยเฉลี่ยของประเทศไทย ที่มีประชากร 70 ล้านคน ต่ำกว่า 2% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม เติบโตกว่าเป็น 2 หรือ 3 เท่า การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้ทำลายล้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงมีเพียง 70% ของจุดสูงสุดเมื่อปี 2562 ซึ่ง แกเร็ธ ลีทเธอร์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำภูมิภาคจาก Capital Economics ระบุว่า "ประเทศไทยล้าหลังอย่างแท้จริงในแง่ของการฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ แย่กว่าที่อื่นในเอเชียเอามาก ๆ"
ในการรับตำแหน่งนายรัฐมนตรีของนายเศรษฐาคือการเดิมพัน ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ใน "วิกฤตเศรษฐกิจ" ที่ต้องรับมือโดยตรง โดยได้ลดภาษีเชื้อเพลิง ประกาศพักชำระหนี้เป็นเวลา 3 ปี สำหรับเกษตรกรที่ประสบปัญหา และวางแผนที่จะเปิดตัวโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่จะมอบเงิน 10,000 บาท ให้แก่คนไทยวัยผู้ใหญ่ทุกคนเพื่อกระตุ้นการบริโภค ยกเว้นวีซ่าสำหรับผู้มาเยือนจากจีนและอินเดีย โดยมีแผนจะขยายไปยังประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ นอกเหนือจากการท่องเที่ยวแล้ว เขายังต้องการเพิ่มบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ การดูแลสุขภาพ และการเงิน
นอกจากนี้เขายังเตรียมที่จะยกระดับชื่อเสียงของประเทศไทยในเวทีโลก โดยต้อนรับเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และหวัง อี้ นักการทูตระดับสูงของจีน ในเดือนมกราคม เพื่อหารือที่ละเอียดอ่อนระหว่างคู่แข่งมหาอำนาจ โดยหวังว่าประเทศไทยซึ่งเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกาในเอเชีย และมีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งกับจีน จะสามารถทำหน้าที่เป็น "สะพาน" และ "พื้นที่ปลอดภัย" เพื่อยกระดับชื่อเสียงของไทยในระดับนานาชาติ โดยบอกว่า
"ผมอยากเห็นประเทศไทยเปล่งประกาย"
ไทม์ระบุว่ามีสิ่งที่ขัดแย้งกันก็คือ นายเศรษฐากำลังต่อสู้เพื่อแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการร่วมมือกลุ่มเดียวกันกับที่ลงทุนเพื่อขัดขวางการปฏิรูปครั้งใหญ่ และเมื่อพิจารณาจากภาวะย่ำแย่ของเศรษฐกิจไทยและเส้นทางสู่อำนาจที่ขัดแย้งกันของเขา เขาจึงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักที่จะต้องสร้างผลลัพธ์ที่แท้จริงและรวดเร็ว เขายังพูดถึงการเลือกตั้งที่ผ่านมาด้วยว่า
"แรงกดดันไม่ได้มาจากการเป็นอันดับ 2"
"แรงกดดันมาจากความจำเป็นที่ต้องแก้ปัญหาความยากจน ต้องปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทยทุกคน เหล่านั้นคือความกดดันที่ผมเผชิญอยู่ทุกวัน"
นายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของไทย ที่มีห้องนอนในทำเนียบรัฐบาล แทนที่จะฝ่าการจราจรที่คับคั่งจอแจบนถนนในกรุงเทพฯ บนเตียงมีตุ๊กตารูปตัวเขาเองที่เป็นของขวัญที่ได้รับมา มีถุงเท้าสีฉูดฉาดที่เป็น "เครื่องหมายการค้า" (ความชื่นชอบถุงเท้าสีแดงหรือสีชมพูสะท้อนแสง เคยจุดประกายให้เกิดการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนบนโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับความเหมาะสมมาแล้ว)
ไทม์ระบุถึงการทำงานของนายเศรษฐาว่า ดูจะพึงพอใจมากที่ไปสนามบินสุวรรณภูมิโดยไม่ได้กำหนดเวลาล่วงหน้า เพื่อตำหนิพนักงานในเรื่องความไร้ประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็แสดงความเสียใจต่อประชาชนชาวไทย เกี่ยวกับการตัดสินใจของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่เลือกสิงคโปร์ในการทัวร์คอนเสิร์ต "Eras Tour" ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แทนที่จะเป็นกรุงเทพฯ ซึ่งเขาได้พูดถึงตัวเองด้วยว่า
"จากการเป็น CEO ของบริษัทจนมาเป็น CEO ของประเทศ มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอีกมากมาย และก็เหมือนกับในห้องประชุมของบอร์ดบริหาร ที่อำนาจไม่เคยถูกแบ่งได้เท่า ๆ กัน"