
แม้เกาหลีจะเป็นสังคมประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงออก แต่ก็ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมและค่านิยมผู้ชายเป็นใหญ่ที่มีมาเนิ่นนาน ซึ่งผู้ชายต้องเป็นผู้นำ เป็นช้างเท้าหน้าในสังคม และผู้หญิงไม่ควรมีปากมีเสียงอะไรมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ ทำให้ผู้หญิงที่ออกมาเคลื่อนไหวหรือแสดงออกเพื่อเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมของผู้หญิง หรือที่เราเรียกว่า สตรีนิยม หรือเฟมินิสต์ มักจะตกเป็นเป้าที่ถูกผู้ชายเกาหลีเกลียดชัง
ในภาษาเกาหลี มีคำเรียกผู้หญิงที่เป็นเฟมินิสต์สั้นๆ ว่า ‘เฟมิ’ แม้ในยุคนี้ เราจะเห็นผู้หญิงเกาหลี มีสิทธิเสรีภาพในการทำงานและใช้ชีวิตอิสระเสรีมากขึ้น แต่ก็ยังต้องมีภาพลักษณ์ความเป็นผู้หญิงตามแบบที่ผู้ชายอยากให้เป็น ซึ่งผู้ชายเกาหลีมองว่าผู้หญิงควรจะต้องพยายามทำตัวให้ดูสวยงามน่ามองตลอดเวลา ผู้หญิงควรจะรักษารูปร่างให้ดูดี ควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม ควรแต่งหน้า และที่สำคัญ ต้องไว้ผมยาว ห้ามไว้ผมสั้น
ตามค่านิยมแล้ว ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นคนประเทศไหน ก็มักจะไว้ผมยาวกันอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะมีผู้หญิงบางคนที่ไว้ผมสั้น ตามความชอบหรือรสนิยมส่วนตัว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สำหรับสังคมเกาหลี ที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้ชายเกาหลีกว่าครึ่งหนึ่งคาดหวังว่าผู้หญิงทุกคนควรไว้ผมยาว หากมีผู้หญิงคนไหนที่ไว้ผมสั้น และยิ่งตัดสั้นแบบผู้ชาย จะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก และผู้หญิงคนนั้นจะถูกมองว่าเป็นเฟมินิสต์ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชายเกาหลีที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ยอมรับไม่ได้ เพราะเหมือนเป็นการท้าทายอำนาจของผู้ชาย
ที่ผ่านมา เราจึงเห็นผู้หญิงเกาหลีที่ไว้ผมสั้น ตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ชายถึงขั้นถูกทำร้ายร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น อัน ซาน นักยิงธนูหญิงทีมชาติเกาหลี ที่คว้าเหรียญทองจากการแข่งโอลิปิก 2020 ที่โตเกียว ได้ถึงสามเหรียญทอง แต่กลับถูกผู้ชายบางกลุ่มต่อต้าน บอกว่าไม่ต้องการสนับสนุนเธอ เพียงเพราะเธอตัดสินใจตัดผมสั้นเหมือนผู้ชาย หรืออย่าง กรณีล่าสุด ที่พนักงานขายของในร้านสะดวกซื้อที่เมืองจินจู ถูกผู้ชายคนหนึ่งทั้งเตะและต่อย เพียงเพราะไม่พอใจที่เธอไว้ผมสั้น โดยผู้ก่อเหตุยอมรับว่าไม่ชอบผู้หญิงที่เป็นเฟมินิสต์ และคิดว่าการทำร้ายเฟมินิสต์ไม่ใช่เรื่องผิด
กระแสเกลียดชังเฟมินิสต์ในเกาหลีใต้ เริ่มกลับมารุนแรงในช่วงไม่กี่ปีทีผ่านมา จากปัญหาทางเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้ชายบางส่วนยิ่งรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียสถานะความเป็นผู้นำในสังคม และผู้หญิงเกาหลีหลายๆ คน ไม่กล้าที่จะพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพ หรือความเท่าเทียมทางเพศอย่างเปิดเผย เพราะกลัวว่าจะตกเป็นเป้าของการเกลียดชัง หรืออาจส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ในสังคมที่ผู้ชายยังเป็นใหญ่ ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ ต้องปกปิดตัวตัว หรือเคลื่อนไหวผ่านสื่อออนไลน์
แม้สังคมเกาหลีใต้จะค่อยๆ เปิดกว้างยอมรับเรื่องความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้น แต่ก็ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยผลสำรวจในเกาหลีใต้แสดงให้เห็นว่างานในตำแหน่งผู้จัดการในเกาหลีใต้ มีผู้หญิงเป็นสัดส่วนแค่ 21% ส่วนงานในตำแหน่งผู้บริหาร มีสัดส่วนแค่ 5% ผู้แทนในสภา มีผู้หญิงแค่ 19% หรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยเกาหลี ก็มีผู้หญิงอยู่น้อยมาก