ข้อตกลงนี้เป็นความพยายามของสหรัฐที่จะสนับสนุนเกาหลีใต้และเพื่อช่วยรับมือการโจมตีจากประเทศข้างเคียง คือ เกาหลีเหนือ ส่วนเกาหลีใต้ก็ตกลงจะไม่แสวงหาโครงการอาวุธนิวเคลียร์ เพราะได้สหรัฐมาช่วยรับมือเกาหลีเหนือแล้ว
ข้อตกลงนี้ ถูกเรียกว่า ปฏิญญาวอชิงตัน จะช่วยสร้างเสริมความร่วมมือระหว่างสหรัฐและเกาหลีใต้ จากการเปิดเผยของประธานาธิบดีไบเดน ซึ่งได้กล่าวต่อที่ประชุมสื่อมวลชน เคียงข้างนาย ยุน ผู้นำเกาหลีใต้ ที่อยู่ระหว่างเยือนสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหารือในหลายประเด็น รวมถึงสงครามในยูเครน การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ความร่วมมือด้านไซเบอร์ และพลังงานนิวเคลียร์
นาย ยุน บอกว่า ปฏิญญาวอชิงตัน ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการเยือนสหรัฐหนนี้ ถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อขยายการป้องปราม ซึ่งเป็นคำมั่นจากสหรัฐที่จะช่วยรับมือการโจมตีและปกป้องชาติพันธมิตร โดยใช้อำนาจทางทหาร รวมถึงอาวุธนิวเคลียร์
ปฏิญญาวอชิงตันมีขึ้นในช่วงที่มีความวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับภัยคุกคามนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนือ ซึ่งยังคงทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามทวีปมากเป็นประวัติการณ์
ข้อตกลงชุดใหม่ระหว่างสหรัฐกับเกาหลีใต้นี้ เป็นผลมาจากการเจรจาซึ่งเกิดขึ้นนานหลายเดือนแล้ว จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่รัฐอาวุโส ภายใต้ข้อตกลงนี้ สหรัฐตั้งเป้าจะใช้นโยบายป้องปรามแบบจับต้องได้ ด้วยการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าประจำการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็รวมถึงการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดตั้งขีปนาวุธระยะไกล เดินทางไปเกาหลีใต้ เป็นครั้งแรกนับจากช่วงต้นทศวรรษที่ 1980
สองประเทศยังจะสร้างกลุ่ม Nuclear Consultative Group เพื่อหารือประเด็นนิวเคลียร์และการวางแผนทางยุทธศาสตร์
บรรดานักการเมืองในเกาหลีใต้ ผลักดันมานาน ให้สหรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น ในแผนการที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ต่อเกาหลีเหนืออย่างไรและเมื่อใด
เกาหลีเหนือพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้มีขนาดใหญ่ขึ้นและซับซ้อนขึ้น สร้างความวิตกว่า สหรัฐอาจเมินเฉยในเรื่องนี้ จึงมีเสียงเรียกร้องให้เกาหลีใต้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง และนี่อาจเป็นชนวนให้สหรัฐต้องโดดเข้ามาแก้ปัญหานี้ด้วยตนเอง
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดี ยุน ของเกาหลีใต้ ได้สร้างความตื่นตัวให้แก่บรรดาผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐ จากการที่เขาเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนแรกที่นำแนวคิดพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์กลับขึ้นมาพิจารณาอีกในรอบหลายสิบปี
ทำให้สหรัฐต้องออกมายืนยันชัดเจนและโน้มน้าวให้เห็นว่า แนวคิดนี้ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งถ้าสหรัฐดึงเกาหลีใต้ให้ถอยห่างจากการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ได้ สหรัฐก็จะเสนอทางเลือกอื่นเป็นการชดเชย ส่วนการเยือนสหรัฐหนนี้ ผู้นำเกาหลีใต้ ก็คาดหวังว่า เขาจะไม่กลับประเทศแบบมือเปล่าแน่นอน ซึ่งก็คือโน้มน้าวให้สหรัฐเข้ามาข้องเกี่ยวกับการรับมือเกาหลีเหนือให้มากขึ้นตามที่เกาหลีใต้ร้องขอ แต่คำถามคือ แล้วสาธารณชนเกาหลีใต้จะคลายความวิตกไปได้บ้างมั้ย?
ซึ่งถึงแม้สหรัฐจะไม่ได้ลงนามเป็นเรื่องเป็นราวว่า จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ช่วยเกาหลีใต้ หากถูกเกาหลีเหนือโจมตี แต่แผนการส่งเรือดำน้ำติดอาวุธพลังงานนิวเคลียร์มายังเกาหลีใต้ เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี ก็หมายความได้ว่า สหรัฐพยายามจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง
แต่ในทางกลับกัน สหรัฐก็ต้องการให้เกาหลีใต้ยังคงเป็นประเทศปลอดนิวเคลียร์ต่อไป และมีจุดยืนไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ที่สหรัฐต้องทำเช่นนี้ เพราะเกรงว่า ถ้าปล่อยให้เกาหลีใต้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้ ชาติอื่นก็อาจทำตามเช่นกัน
แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า ข้อตกลงทั้งหมดนี้จะส่งผลได้มากน้อยเพียงใด เพราะตอนนี้ เริ่มมีเสียงจากบรรดานักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์และสมาชิกพรรครัฐบาลเกาหลีใต้มากขึ้นเรื่อยๆ ดันให้เกาหลีใต้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ด้วยตัวเอง