
“ผู้บ่าวไทบ้าน เดอะซีรีส์” (2557) เป็นภาพยนตร์ คอมเมดี้ โรแมนติก ดรามา ออกฉายมาแล้วหลายภาคต่อ ประกอบด้วย “ไทบ้าน เดอะซีรีส์ 2.1” (2559) “ไทบ้าน เดอะซีรีส์ 2.2” (2559) “ไทบ้าน x BNK48จากใจผู้สาวคนนี้” (2561) ตระกูลไทบ้านเดอะซีรีส์ ถือเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ช่วยปลุกกระแสความเป็นอีสาน และเพลงประกอบภาพยนตร์แต่ละเพลงมียอดวิวเกินร้อยล้านวิว ถือเป็นปรากฏการณ์ ไทบ้านฟีเวอร์ อีสานครองเมือง
ไทบ้านซีรี่ส์ : ปลุกพลังเลือดอีสาน
“อุเทน ศรีริวิ” หรือ “โทนี่ บอย” ผู้ที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานอินดี้” สู่ “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด...” (2564) ที่ได้จุดประกาย และสร้างปรากฏการณ์ “หนังอีสานยุคใหม่” ให้กับวงการภาพยนตร์ไทย ในการเป็นหนังอีสานอินดี้เรื่องแรกๆ ที่ประสบความสำเร็จเกินคาด ในระยะเวลาไม่กี่ปีทำรายได้หลายร้อยล้านบาท
“ปรากฏการณ์ของ ผู้บ่าวไทบ้านฯ ที่เป็นกระแสทุกวันนี้ในความรู้สึกผม ผมว่ามันเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับคนอีสาน เป็นเรื่องใหม่สำหรับวงการหนังอีสานนอกเหนือจากหนังพี่หม่ำ “แหยมยโสธร” หนังพี่บิณฑ์ “ปัญญาเรณู”
ผู้บ่าวไทบ้านเล่าเรื่องของกลุ่มผู้ชายที่มันอยู่ในหมู่บ้านจะมีวิถีชีวิตและกิจกรรมในแต่ละวัน บางวันก็ทำงาน บางวันก็สังสรรค์กับเพื่อน เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใกล้ตัวของคนอีสาน ซึ่งมันเป็นชีวิตประจำวันของคนอีสาน ด้วยนักแสดง ด้วยโลเคชัน
ก่อนหน้านี้มันก็ยังไม่มีหนังที่พูดถึงชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นอีสานจริงๆ พอมามีผู้บ่าวไทบ้านคนก็เลยรู้สึกว่านี่แหละตัวเราเอง มันเหมือนเขากำลังมองดูตัวเองอยู่ ผมคิดว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คนสนใจในความเป็นผู้บ่าวไทบ้าน”
จากเด็กบ้านนอก สู่ ผู้กำกับหนังอีสานอินดี้
อุเทน ศรีริวิ ผู้กำกับ “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด...” ซี่รี่ส์ไทบ้านภาคล่าสุด แนะนำตัวเองว่า
“ผมเป็นเด็กบ้านนอก ส่วนตัวชอบดูหนัง ตอนเด็กเวลาที่อยากจะดูหนังสักเรื่องหนึ่ง มันลำบากมาก การจะเสพสื่อพวกนี้ได้มีอย่างเดียวเลยก็คือ หนังกลางแปลง อาทิตย์หนึ่งก็จะมีครั้งหนึ่ง โดยต้องรอดูจากหนังกลางแปลงที่เข้ามาฉายในหมู่บ้านหรือหมู่บ้านที่ใกล้เคียงกันตอนที่เขามีงานบุญหรือมีการจัดงาน
ผมก็จะมีพี่คนหนึ่งที่สนิทกันคอยมาบอกว่าจะมีหนังมาฉายในหมู่บ้านคืนนี้นะ ผมก็จะเตรียมตัวตั้งแต่กลางวันเลย พอกลางคืนก็จะไปดูกับเพื่อนบ้างหรือไปกับพี่บ้าง ก็ปั่นจักรยานกันไป มีความสุขมาก
ถ้าครั้งไหนมีหนังมาฉายที่หมู่บ้านตัวเอง พอดูเสร็จตอนเช้าก็ต้องรีบตื่นเพื่อที่จะมาเก็บเศษฟิล์มหรือถ่านเครื่องฉายที่เป็นแท่งมาสะสม คือเมื่อก่อนก็จะเป็นเครื่องอาร์ก เครื่องฉายฟิล์ม มันคือสิ่งที่เราชอบมาตั้งแต่เด็ก พอได้ฟิล์มก็เอามาโชว์กับเพื่อนว่ามีแบบนี้ๆ นะ มีมาแลกเปลี่ยนกันบ้าง แล้วถ้าตอนบ่ายตอนเย็นไม่มีเรียน กลางคืนก็เอาถุงพลาสติก เรียกว่าเอาพลาสติกใหญ่ๆ มาขึงเป็นจอหนังแล้วก็เอาเศษฟิล์มนี่แหละเอาไฟฉายมาส่องให้มันเกิดภาพขึ้นที่จอ มันก็เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ตอนเด็กๆ
พอโตขึ้นมาเป็นยุควิดีโอก็จะดูง่ายขึ้น มีร้านเช่าวิดีโอ เราก็จะเช่าทีละ 5-10 เรื่องมาดูกัน จากยุควิดีโอมาเป็นยุคดีวีดีก็ซื้อเก็บที่บ้านเต็มเลย ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของความฝันที่ว่าอยากทำหนัง ด้วยความคิดที่ว่าเราเคยเห็นชื่อผู้กำกับเวลาขึ้นเครดิตอยู่กับตัวหนังหลังหนังจบ ก็เลยอยากมีชื่อตัวเองอยู่ในตอนจบบ้าง”
เสน่ห์ของคนอีสาน ที่สัมผัสใจผู้ชมได้ไม่ยาก
“ก่อนหน้านี้เรามี “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานอินดี้” ที่บุกเบิกมาซึ่งพอมาถึง “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด...” ผมก็พยายามเล่าเรื่องที่มันใกล้ตัวกับคนดูทั่วไปมากขึ้น รวมไปถึงตัวนักแสดงที่มาเล่นก็เลือกนักแสดงที่คนดูเห็นแล้วจับต้องได้ว่านี่แหละอีสาน นี่แหละใช่ มาถ่ายทอดบทบาทการแสดงของแต่ละตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น แอน อรดี, กระต่าย พรรณนิภา, เนม สุรพงศ์, เต้ย จักร์รินท์
โดยเรื่องราวเราก็อยากเล่าอยากถ่ายทอดในความเป็นหนังความรักเล็กๆ ของคนกลุ่มเล็กๆ ในอีสานที่พอถูกพัฒนาจนมาถึงเรื่องที่ 4 เราก็เลือกที่จะนำเสนออีกรูปแบบของความรักที่เล่าเรื่องผ่านความรักของครอบครัว ความรักของหนุ่มสาวโรงงาน และก็ความรักของนักเรียน ซึ่งยังคงคอนเซปต์ความเป็นผู้บ่าวไทบ้าน 1-2-3 ไว้อยู่ครบ"
ทำไมต้อง “อีสานจ้วด”
ชื่อหนัง “ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด...” คำว่า “จ้วด” ความหมายคือ “รวดเร็ว” เหมือนบั้งไฟที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า อีสานจ้วดก็เป็นอีสานที่รวดเร็ว สมัยใหม่ ทันใจ แล้วคำว่าจ้วดมันก็เป็นศัพท์สแลงของอีสานที่แทนความหมายว่า “สุดยอด ดีงาม” หรือเป็นคำกวนๆ แบบ ”จ้วดไปเลย จัดไป” ก็ได้ด้วย
“ภาพยนตร์รักไนบักขามขั่ว นัวส์ในอารมณ์” สโลแกนภาพยนตร์
คำว่า “ไนบักขาม” คือเมล็ดมะขามคั่ว คนอีสานถ้าพูดถึงสิ่งนี้จะร้องอ๋อ ร้องว้าวกัน เพราะนี่คือสิ่งที่คนอีสานชอบกิน ส่วนมากเวลาถ้ามีเมล็ดมะขามเขาก็จะเอาไปคั่ว ให้เปลือกมันกระเทาะแล้วก็แกะเปลือกออกแล้วก็อม อมเนื้อของมะขาม แล้วก็เคี้ยวๆ เหมือนหมากฝรั่ง เขาจะพูดหยอกกันเล่นๆ ว่าเป็นลูกอมคนจน ซึ่งมันจะหอมหวานมัน ก็ต้องไปลองชิมดู
ไนบักขาม : เอกลักษณ์คนอีสานกับหนังกลางแปลง
"ไนบักขาม เป็นกิมมิกของเรื่องด้วย เป็นสิ่งที่คนอีสานเห็นจะร้องอ๋อ จะต้องขอแบ่งให้กัน เพื่อแกะเปลือกเคี้ยวเมล็ดทีแรกแข็งๆ อมไปอมมามันจะนุ่ม ซึ่งมันก็เหมือนความรักของหนังเรื่องนี้ของพระเอกกับนางเอก ตอนแรกก็ยังแข็งๆ กันอยู่ แต่พอเคี้ยวไปเคี้ยวมาเริ่มนุ่มเริ่มเข้าใจ
เป็นอัตลักษณ์หนึ่งของคนอีสาน ซึ่งเป็นสไตล์ในการทำหนังของผมที่มักจะต้องหยิบเอาความเป็นอีสานอย่างใดอย่างหนึ่งมาเล่า มาเป็นตัวแทนความเป็นอีสานที่ถูกสอดแทรกลงไป เรื่องนี้ก็ได้ไนบักขามหรือเมล็ดมะขามมาเป็นตัวแทน มาเป็นสื่อกลางความรักของพระเอกนางเอกแล้วก็เป็นสื่อกลางความรักของคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ด้วย"
มองภาพความเป็นอีสานยุคใหม่ในปัจจุบันอย่างไร
"ที่ผ่านมาหลายคนอาจมองว่าอีสานต้องแห้งแล้งนะ อีสานต้องกันดารนะ แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมอยากเล่าเรื่องราวที่จะเข้าช่วงหน้าฝน ซึ่งภาพในหนังก็จะมีสีเขียว มีสีสดใสหน่อยครับ มันก็จะมีเข้าคอนเซปต์ที่ว่าเรากำลังจะอัปเดตชีวิตความเป็นอีสานสมัยใหม่ ซึ่งมีคนหนุ่มคนสาวที่เริ่มจะกลับมาพัฒนาหมู่บ้าน เริ่มจะกลับมาให้ความสำคัญกับครอบครัวในหมู่บ้าน"
6 ปี กับจักรวาลอีสาน
"สำหรับภาพยนตร์ถิ่นอีสานตั้งแต่ที่ผมทำ ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานอินดี้ มาตั้งแต่ภาคแรกจนมาถึงภาคที่ 4 ผมรู้สึกภูมิใจนะที่ได้เห็นการต่อยอดออกไปอีกหลายๆ เรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นไทบ้านเดอะซีรีส์ หรือหนังอีสานของทางเมืองกรุง ส่วนตัวก็รู้สึกดีใจที่ได้เห็นภาพยนตร์ท้องถิ่นอีสานเกิดเยอะขึ้นทุกวัน และพัฒนาคุณภาพขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
สำหรับเรื่องนี้ก็จะเป็นหนังรักเล็กๆ ที่อยากอัปเดตชีวิตของคนอีสานและความเป็นผู้บ่าวผู้สาวไทบ้านยุคใหม่ และเรื่องนี้ผมก็ได้บุคลากรเบื้องหน้าเบื้องหลังหลายคนหลายฝ่ายที่มีศักยภาพมาร่วมงานด้วยซึ่งจะทำให้ ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด... ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ นี่แหละคือสิ่งที่ผมภูมิใจ และอยากให้ทุกคนพร้อมใจจ้วดไปดูเรื่องนี้กันในโรงภาพยนตร์ครับ"