ส่องหุ้นเด่นกลุ่ม ESG ตัวไหนแกร่งวิ่งฉิว

ปัจจุบันตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการลงทุนที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ส่วนของประเทศไทยนั้นก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ไม่น้อย  เพราะการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG ซึ่งเปรียบเหมือนกระจกที่สะท้อนภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัท ให้ความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง เพราะหมายถึงธุรกิจมีรูปแบบการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ได้มาตรฐาน ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน จึงเป็นธุรกิจน่าสนใจ

ESG คืออะไร

การดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน โดยไม่หวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว (Investment Style) แต่คำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance : ESG) ซึ่งปัจจุบัน ESG ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากเป็นแนวคิดที่นักลงทุนใช้ประกอบการพิจารณาการลงทุน โดยจะให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจ ที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ 3 ด้าน ที่ใช้เป็นตัวชี้วัด ได้แก่

1. Environment (สิ่งแวดล้อม) ชี้วัดความรับผิดชอบของบริษัทที่มีต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas), การสร้างของเสีย, การปล่อยมลพิษ

2. Social (สังคม) ใช้วัดบริษัทมีการจัดการความสัมพันธ์กับ พนักงาน ลูกค้า หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ชุมชนท้องถิ่น และผู้ทำงานใน Value Chain ทั้งหมดอย่างไร อาทิ สุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงาน, ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม 

3. Governance (ธรรมาภิบาล) ชี้วัดว่าบริษัทมีการจัดการกำกับดูแลอย่างไร เพื่อให้การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพโปร่งใส  ตรวจสอบได้

แนวคิด ESG นี้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือแก่ธุรกิจ ที่สะท้อนความรับผิดชอบของธุรกิจที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสีย และการนำเสนอผลการดำเนินงานในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 26 เมษายน 2567 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,359.94 จุดคิดเป็นลดลง 3.95% ขณะที่สัปดาห์ที่ผ่านตั้งแต่วันที่ 22-26 เมษายน 2567  ดัชนีหุ้นไทย1,359.94 จุด เพิ่มขึ้น 2.09%

ขณะเดียวกันจากการสำรวจราคาหุ้นในกลุ่ม ESG ระดับ AAA ราคาหุ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีทั้งปรับลดลงมากกว่าดัชนีและเพิ่มขึ้นมากกว่าดัชนี   หุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นคือ 

หุ้น CPALL  ( บมจ. ซีพี ออลล์) เพิ่มขึ้น 3.65% จากราคา 54.75 บาทเพิ่มขึ้น 56.75 บาท

ผู้ถือหุ้น 5 อันดับแรกประกอบด้วย

1. บริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด ถือหุ้น       2,868,217,700 หุ้น สัดส่วน  31.93%

2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด      ถือหุ้น 984,480,672 หุ้น สัดส่วน         10.96%

3. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED          ถือหุ้น 319,584,527 หุ้น สัดส่วน 3.56%

4. STATE STREET EUROPE LIMITED          ถือหุ้น 259,655,252 หุ้น สัดส่วน 2.89%

5. CITIBANK NOMINEES SINGAPORE PTE LTD-A/C GIC C ถือหุ้น       216,127,308 หุ้น สัดส่วน 2.41%

รายได้รวม

ปี 62 อยู่ที่ 571,006.48 ล้านบาท

ปี 63อยู่ที่ 546,364.02 ล้านบาท

ปี 64 อยู่ที่ 587,189.76 ล้านบาท

ปี 65 อยู่ที่ 852,605.22 ล้านบาท

ปี 66 อยู่ที่ 920,841.35 ล้านบาท

กำไรสุทธิ

ปี 62 อยู่ที่ 22,343.08 ล้านบาท

ปี 63 อยู่ที่ 16,102.42 ล้านบาท

ปี 64 อยู่ที่ 12,985.48 ล้านบาท

ปี 65 อยู่ที่ 13,271.71 ล้านบาท

ปี 66 อยู่ที่ 18,482.13 ล้านบาท

หุ้น AMATA  (บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน) เพิ่มขึ้น1.36 % จากราคา 22  บาท มาอยู่ที่ 22.3 บาท

ผู้ถือหุ้น 5 อันดับแรกประกอบด้วย

1. นายวิกรม กรมดิษฐ์ ถือหุ้น 301,652,396 หุ้น สัดส่วน 26.23%

2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้น 125,862,194 หุ้น สัดส่วน  10.94%

3. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED ถือหุ้น 32,594,007 หุ้น สัดส่วน     2.83%

4. นายวรุณ สนโสภณ ถือหุ้น29,097,600 หุ้น สัดส่วน 2.53%

5. บริษัท อีโตชู เอ็นเตอร์ไพรซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด ถือหุ้น 25,000,000 หุ้น สัดส่วน2.17%

รายได้รวม

ปี 62 อยู่ที่ 6,112.70 ล้านบาท

ปี 63 อยู่ที่ 4,350.40 ล้านบาท

ปี 64 อยู่ที่ 5,433.66 ล้านบาท

ปี 65 อยู่ที่ 8,138.01 ล้านบาท

ปี 66 อยู่ที่ 9,784.59 ล้านบาท

กำไรสุทธิ

ปี 62 อยู่ที่ 1,742.06 ล้านบาท

ปี 63 อยู่ที่  1,103.44 ล้านบาท

ปี 64อยู่ที่  1,402.29 ล้านบาท

ปี 65 อยู่ที่  2,341.35 ล้านบาท

ปี 66 อยู่ที่  1,884.76 ล้านบาท

หุ้น CRC  (บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น)  เพิ่มขึ้น1.49 % จากราคา 33.50 บาท มาอยู่ที่ 34 บาท  

ผู้ถือหุ้น 5 อันดับแรกประกอบด้วย

1. บริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด  ถือหุ้น 2,114,284,890  หุ้น สัดส่วน 35.06%

2. Deutsche Bank AG Singapore PWM ถือหุ้น 277,963,444  หุ้น สัดส่วน 4.61%

3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้น 200,054,633  หุ้น สัดส่วน 3.32%

4. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED ถือหุ้น 113,263,454  หุ้น สัดส่วน1.88%

5. สำนักงานประกันสังคม ถือหุ้น 84,744,266  หุ้น สัดส่วน 1.41%

รายได้รวม

ปี 62 อยู่ที่ 222,486.15 ล้านบาท

ปี 63 อยู่ที่ 194,311.43 ล้านบาท

ปี 64 อยู่ที่ 195,653.81ล้านบาท

ปี 65 อยู่ที่ 236,244.78 ล้านบาท

ปี 66 อยู่ที่ 248,688.43 ล้านบาท

กำไรสุทธิ

ปี 62 อยู่ที่ 10,633.26 ล้านบาท

ปี 63 อยู่ที่ 46.27 ล้านบาท

ปี 64 อยู่ที่ 59.37 ล้านบาท

ปี 65 อยู่ที่ 7,174.99 ล้านบาท

ปี 66 อยู่ที่ 8,016.31 ล้านบาท

หุ้นที่ปรับตัวลดลงคือ หุ้น PTTGC   (พีทีที โกลบอล เคมิคอล)  ลดลง 4.52% จากราคา 38.75 บาท ลดลงมาอยู่ที่ 37 บาท 

ผู้ถือหุ้น 5 อันดับแรกประกอบด้วย

1.  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 2,037,220,915 หุ้น สัดส่วน         45.18%

2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้น 216,065,386 หุ้น สัดส่วน 4.79%

3. บริษัท สยาม แมนเนจเม้นท์ โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 135,240,000 หุ้น สัดส่วน 3.00%

4. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED ถือหุ้น 89,937,364 หุ้น สัดส่วน 1.99%

5.  บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด  ถือหุ้น83,427,636 หุ้น สัดส่วน         1.85%

รายได้รวม

ปี 62 อยู่ที่ 415,160.40 ล้านบาท

ปี 63 อยู่ที่ 331,571.29 ล้านบาท

ปี 64 อยู่ที่ 491,490.37 ล้านบาท

ปี 65 อยู่ที่ 687,899.45 ล้านบาท

ปี 66 อยู่ที่ 632,568.88 ล้านบาท

กำไรสุทธิ

ปี 62 อยู่ที่ 11,682.08 ล้านบาท

ปี 63 อยู่ที่ 199.61 ล้านบาท

ปี 64 อยู่ที่ 44,982.39 ล้านบาท

ปี 65 อยู่ที่ -8,752.21 ล้านบาท

ปี 66 อยู่ที่ 999.13 ล้านบาท