ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ผันผวนจากปัจจัยลบต่างประเทศ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดที่ยังไม่ยอมลดดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้อไม่ได้สู่เป้าหมาย 2% ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งเห็นได้จากดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตในเดือนมีนาคม ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนว่าภาคการผลิตสหรัฐฯ พลิกกลับมาขยายตัวในอัตราเร่งขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลว่า เฟดอาจชะลอการลดดอกเบี้ย หรือ อาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่า 3 ครั้ง ในปีนี้
Nation STORY ได้รวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (ตลท.) ในช่วงไตรมาส 1/67 พบว่า หุ้นที่มีขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) 100 อันดับแรกที่มีราคาหุ้นปรับลดลงมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้น KCE ราคาหุ้นลดลง 27.73% รองลงมาเป็นหุ้น BTS ลดลง 22.07% และหุ้น SCGP ลดลง 20.83%
โดยหุ้น KCE บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 47,283.54 ล้านบาท ราคา ณ วันที่ 1 เม.ย. อยู่ที่ 40 บาท ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรกประกอบด้วย
1. นายพิธาน องค์โฆษิต ถือหุ้น 164,754,244 หุ้น สัดส่วน 13.94%
2. NOMURA SINGAPORE LIMITED-CUSTOMER SEGREGATED ACCOUNT ถือหุ้น 108,810,300 หุ้น สัดส่วน 9.20%
3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้น 69,224,754 หุ้น สัดส่วน 5.86%
4. นายอรรถสิทธิ์ องค์โฆษิต ถือหุ้น 61,609,000 หุ้น สัดส่วน 5.21 %
5. น.ส.ชุตินาถ องค์โฆษิต ถือหุ้น 42,679,136 หุ้น สัดส่วน 3.61%
โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวลงตั้งแต่ 2 ม.ค.-31 มี.ค. ทำให้ความมั่งคั่งของ “พิธาน องค์โฆษิต” ลดลงไปแล้วกว่า 2,677 ล้านบาท
รายได้รวม
ปี 62 อยู่ที่ 12,288.69 ล้านบาท
ปี 63 อยู่ที่ 11,741.86 ล้านบาท
ปี 64 อยู่ที่ 15,329.77ล้านบาท
ปี 65 อยู่ที่ 18,786.59ล้านบาท
ปี 66 อยู่ที่ 16,683.36 ล้านบาท
กำไรสุทธิ
ปี 62 อยู่ที่ 934.49 ล้านบาท
ปี 63 อยู่ที่ 1,126.79 ล้านบาท
ปี 64อยู่ที่ 2,426.28 ล้านบาท
ปี 65 อยู่ที่ 2,317.23 ล้านบาท
ปี 66 อยู่ที่ 1,719.5 ล้านบาท
ขณะที่ หุ้น BTS บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 75,055.54 ล้านบาท ราคา ณ วันที่ 1 เม.ย. อยู่ที่ 5.70 บาท ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรกประกอบด้วย ผู้ถือหุ้น 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
1.นายคีรี กาญจนพาสน์ ถือหุ้น 2,768,383,552 หุ้น สัดส่วน 21.02%
2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้น 1,422,798,397 หุ้น สัดส่วน 10.81%
3. UBS AG SINGAPORE BRANCH ถือหุ้น 833,918,000 หุ้น สัดส่วน 6.33%
4. นายกวิน กาญจนพาสน์ ถือหุ้น 605,012,295 หุ้น สัดส่วน 4.59%
5. สำนักงานประกันสังคม ถือหุ้น 418,160,400 หุ้น สัดส่วน 3.18%
โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวลงตั้งแต่ 2 ม.ค.-31 มี.ค. ทำให้ความมั่งคั่งของ “คีรี กาญจนพาสน์” ลดลงไปแล้วกว่า 4,706 ล้านบาท
รายได้รวม
ปี 62 อยู่ที่ 38,680.65 ล้านบาท
ปี 63 อยู่ที่ 42,379.10 ล้านบาท
ปี 64 อยู่ที่ 31,194.50 ล้านบาท
ปี 65 อยู่ที่ 24,138.72 ล้านบาท
ปี 66 อยู่ที่ 19,675.97 ล้านบาท
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ
ปี 62 อยู่ที่ 8,161.75 ล้านบาท
ปี 63 อยู่ที่ 4,576.27 ล้านบาท
ปี 64 อยู่ที่ 3,825.58 ล้านบาท
ปี 65 อยู่ที่ 1,836.48 ล้านบาท
ปี 66 อยู่ที่ -5,277.09 ล้านบาท
ปิดท้ายหุ้น SCGP บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 125,567.92 ล้านบาท ราคา ณ วันที่ 1 เม.ย. อยู่ที่ 29.25 บาท ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรกประกอบด้วย ผู้ถือหุ้น 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
1. บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 3,095,882,660 หุ้น สัดส่วน 72.12%
2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้น 138,502,817 หุ้น สัดส่วน 3.23%
3. บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด ถือหุ้น 64,498,900 หุ้น สัดส่วน 1.50%
4. สำนักงานประกันสังคม ถือหุ้น 50,459,586 หุ้น สัดส่วน 1.18%
5. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED ถือหุ้น 42,726,227 หุ้น สัดส่วน 1.00%
โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวลงตั้งแต่ 2 ม.ค.-31 มี.ค. ทำให้มูลค่าหุ้น ปูนซิเมนต์ไทยลดลง ไปแล้วกว่า 13,993 ล้านบาท
รายได้รวม
ปี 62 อยู่ที่ 89,783.61 ล้านบาท
ปี 63อยู่ที่ 93,388.33 ล้านบาท
ปี 64 อยู่ที่ 126,436.89 ล้านบาท
ปี 65 อยู่ที่ 147,389.57 ล้านบาท
ปี 66 อยู่ที่ 130,441.11 ล้านบาท
กำไรสุทธิ
ปี 62 อยู่ที่ 5,268.51 ล้านบาท
ปี 63 อยู่ที่ 6,457.48 ล้านบาท
ปี 64 อยู่ที่ 8,294.37 ล้านบาท
ปี 65 อยู่ที่ 5,800.61 ล้านบาท
ปี 66 อยู่ที่ 5,248.13 ล้านบาท