ส่อเค้าวุ่นอีกบริษัท หลังตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ บมจ. ณุศาศิริ (NUSA) ชี้แจงข้อเท็จจริงที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสภาพคล่อง และความสามารถในการชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้และหนี้ต่างๆ ของบริษัท และการดำเนินธุรกิจของบริษัท กรณีปรากฏข้อมูลในงบการเงินประจำปี 2566 ว่า บริษัทมีเงินสด 39 ล้านบาท แต่มีหุ้นกู้และหนี้สินที่ครบกำหนดชำระใน 1 ปี รวม 2,352 ล้านบาท
ขณะที่ NUSA ได้ทำหนังสือชี้แจงสถานะทางการเงินของบริษัทว่า ณ 31 ธันวาคม 2566 มีอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์คิดเป็น 0.58% ซึ่งคํานวณจากราคาสินทรัพย์ ประเภทที่ดินของบริษัท ในราคาทุน โดยราคาตลาดของที่ดินมีราคาสูงกว่าราคาทุนมาก อาทิ ที่ดินที่เขาใหญ่ หรือ สัตหีบ
ส่วนกู้ของบริษัท NUSA242A ซึ่งครบกําหนดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ได้มีการชําระเงินต้นทั้งจํานวนแล้วเสร็จตามกําหนด และหุ้นกู้ของ บริษัทและบริษัทในเครือ เป็นหุ้นกู้มีหลักประกันเป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยสูงกว่า 1.2 เท่า นอกจากนี้ บริษัทมีการประมาณการกระแสเงินสดตลอดปี 2567 ที่เพียงพอต่อกําหนดการชําระหนี้ทุกประเภท
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทฯอยู่ในระหว่างการรอเข้ามาปฎิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัทตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ซึ่งคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่ได้มีแผนการดําเนินการบริหาร บมจ.ณุศาศิริตามวาระการเสนอเพิ่มกรรมการใหม่ และปรับโครงสร้างคณะกรรม การบริษัท ทั้งนี้ทางบริษัทจะได้รายงานความคืบหน้าตามประเด็นความสามารถชําระหนี้ให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับทราบอีกครั้งหนึ่ง โดยประธานคณะกรรมการบริษัทฯ คนใหม่
นอกจากนี้ในรายงานงบปี 66 พบว่า กลุ่มบริษัทมีแผนที่จะออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มเติมในปี 2567 เพื่อนำมาชำระหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนภายในหนึ่งปี รวมทั้งเพื่อจ่ายชำระหนี้แก่เจ้าหนี้และใช้ในการดำเนินงาน
โดยการออกหุ้นกู้ดังกล่าวจะค้ำประกันด้วยสินทรัพย์โครงการของกลุ่มบริษัทที่ยังปลอดภาระค้ำประกันและที่ปัจจุบันใช้ค้ำประกันหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนภายในหนึ่งปีที่จะทยอยปลอดภาระค้ำประกันเมื่อชำระคืนตามที่ครบกำหน
ทั้งนี้กลุ่มบริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถออกและจำหน่ายหุ้นกู้ตามแผนได้ เนื่องจากผู้บริหารมั่นใจว่านักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นต่อกลุ่มบริษัท นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าหนี้ และคู่ค้าทางธุรกิจรายอื่น ๆ เพื่อขอขยายเวลาการชำระหนี้ที่ครบกำหนดชำระ
รวมทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนการปรับปรุงการดำเนินงานและแผนธุรกิจ เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานและกลับมาอยู่ในสถานะที่ทำกำไรอีกครั้งให้สำเร็จในอนาคต กลุ่มบริษัทเชื่อมั่นว่ากลุ่มบริษัทจะยังคงสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคป ณ 13 มี.ค. 67 อยู่ที่ 5,487.81 ล้านบาท ราคาหุ้นปิด ณ 13 มี.ค.67 อยู่ที่หุ้นละ 0.42 บาท
หากส่องรายชื่อผู้ถือหุ้นมีรายละเอียดดังนี้
1. บริษัท ธนา พาวเวอร์ โฮลดิ้ง ถือหุ้น 3,263,716,150 หุ้น สัดส่วน 24.98%
2.นาย ประเดช กิตติอิสรานนท์ ถือหุ้น 1,136,651,000 หุ้น สัดส่วน 8.70%
3. บริษัท ดีดี มาร์ท โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 1,013,107,400 หุ้น สัดส่วน 7.75%
4. น.ส. เจนจิรา กิตติอิสรานนท์ ถือหุ้น 476,247,100 หุ้น สัดส่วน 3.64%
5. น.ส. นันทิดา กิตติอิสรานนท์ ถือหุ้น 460,181,800 หุ้นสัดส่วน 3.52%
6. นาย วิษณุ เทพเจริญ ถือหุ้น 459,889,304 หุ้น สัดส่วน 3.52%
7. นาย ไพโรจน์ ศิริรัตน์ถือหุ้น 363,039,481 หุ้น สัดส่วน 2.78%
8. บริษัท อินเตอร์-ไฮ (ประเทศไทย) 2011 จำกัด หุ้น ถือหุ้น 360,000,000 หุ้น สัดส่วน 2.76%
9. น.ส. อาทิกา ท่อแก้ว ถือหุ้น 314,080,217 หุ้น 2.40%
10. น.ส. ของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์ ถือหุ้น 279,280,993 หุ้น 2.14%
สินทรัพย์รวม
หนี้สินรวม
รายได้รวม
ขาดทุนสุทธิ
ทั้งนี้กลุ่มบริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องติดต่อกันหลายปี และ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีหนี้สินหมุนเวียนรวมสูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนรวมจำนวน 1,166 ล้านบาท และมีขาดทุนสะสมรวมจำนวน 3,888 ล้านบาท โดยหนี้สินหมุนเวียนดังกล่าวได้รวมถึงหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนภายในหนึ่งปีจำนวน 1,185 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทระบุว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังคงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกิจกรรมทางธุรกิจของกลุ่มบริษัทในส่วนที่เกี่ยวกับการขายและการให้บริการจากการชะลอการตัดสินใจซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหา ริมทรัพย์ และการชะลอการใช้จ่ายของผู้บริโภค
รวมถึงการปิดกิจการโรงแรมเป็นการชั่วคราวอาจมีผลกระทบต่อแผนธุรกิจในอนาคตของกลุ่มบริษัท ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน และกระแสเงินสด ในปัจจุบันและในอนาคตของกลุ่มบริษัท ฝ่ายบริหารของกลุ่มบริษัทมีการติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์ดังกล่าวและประเมินผลกระทบทางการเงินเกี่ยวกับมูลค่าของสินทรัพย์ประมาณการหนี้สินและหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และกำลังซื้อที่หดตัวกระทบต่อยอดขายอสังหาริมทรัพย์อย่างถ้วนหน้า ขณะที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างที่สูงขึ้นก็เป็นปัจจัยฉุดรั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน
แม้ว่าบริษัทฯ จะออกมาแจงเบื้องต้นว่ามีเงินเพียงพอในการชำระหนี้ทุกประเภท แต่คงต้องรอฝ่ายบริหารออกมาแถลงการณ์อย่างเป็นทางการอีกครั้งเพื่อให้รับรู้ถึงสถานะทางการเงินที่แท้จริง ว่าจะต่อคิวเป็นบริษัทที่ประสบวิกฤติทางการเงินหรือไม่.....