
น.ส. รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ Nation Online ว่า เงินบาทสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวในกรอบ 34.80-35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยติดตามตัวเลขภาคบริการและการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.ของสหรัฐฯ (คาดตำแหน่งงานเพิ่มขึ้น 2 แสน) ส่วนปัจจัยในประเทศ คือข้อมูลเงินเฟ้อ เดือนพ.ย.
สำหรับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาคช่วงม.ค.-พ.ย. พบว่า ริงกิต-มาเลเซียอ่อนค่าสุด 5.96% รองลงมาเป็นหยวน-จีน 3.39% วอน-เกาหลีใต้ 3.08% ดอง-เวียดนาม 2.69% ดอลลาร์-ไต้หวัน 2.31% บาท-ไทย 1.85% รูปี-อินเดีย 0.75% ยกเว้นเปโซ-ฟิลิปปินส์แข็งค่า 0.52% รูเปียห์-อินโดนีเซียแข็ง 0.41% ดอลลาร์-สิงคโปร์ แข็ง 0.14%
สาเหตุที่เงินบาทอ่อนเกิดจาก
ส่วนทิศทางดอกเบี้ยในปีหน้า คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตรึงดอกเบี้ยยาวตลอดปี 67 ขณะที่ท่าทีของผู้ดำเนินนโยบายสะท้อนว่า ดอกเบี้ยต่างประเทศอยู่ในระดับตึงตัวมากกว่าไทย และถ้าไม่มีอะไรกระทบแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ถือว่าจุดยืนปัจจุบันเหมาะสม
รายงานข่าวจากธนาคารกสิกรไทยระบุว่า ค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า (4-8 ธ.ค.) คาดว่าเคลื่อนไหวที่ระดับ 34.50-35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปิดตลาดในวันศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 66 ที่ระดับ 35.09 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย. ของไทย รวมถึงสัญญาณเงินทุนต่างชาติ
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนต.ค. ดัชนี ISM ดัชนี PMI ภาคบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนพ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI ภาคบริการเดือนพ.ย. ของจีน ยูโรโซน และอังกฤษ รวมถึงตัวเลขการส่งออกเดือนพ.ย. ของจีนด้วยเช่นกัน
นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า ขณะนี้ยังคงเร็วเกินไปที่เฟดจะประกาศชัยชนะเหนือเงินเฟ้อ ถ้อยแถลงดังกล่าวถือเป็นการดับความคาดหวังของตลาดที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
โดยเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปที่เราจะสรุปด้วยความเชื่อมั่นว่า เราได้บรรลุจุดยืนในการใช้นโยบายที่มีความเข้มงวดเพียงพอ หรือจะทำการคาดเดาว่าจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเมื่อใด ซึ่งพร้อมที่จะใช้นโยบายที่เข้มงวดต่อไปจนกว่ามั่นใจว่าเงินเฟ้อจะกลับสู่ระดับ 2% อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินเฟ้อได้ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของเฟด
นอกจากนี้นายพาวเวลล์ระบุว่า เฟดจะไม่มีการกำหนดทิศทางนโยบายไว้ล่วงหน้า และการตัดสินใจในการประชุมแต่ละครั้งจะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เฟดได้รับ และสิ่งบ่งชี้สำหรับแนวโน้มด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งการรักษาสมดุลของความเสี่ยง