svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเงิน-การลงทุน

โบรกคาดหุ้นไทยรีบาวด์ทางเทคนิก คัด 6 หุ้นหลบภัย

โบรกมองหุ้นไทยวันนี้รีบาวด์ทางเทคนิค หลังปรับลงแรงเมื่อวนนี้ จากความกังวลสถานการณ์ตะวันออกกลาง-แนวโน้มดอกเบี้ยเฟดยังเป็นปัจจัยกดดัน คัด 6 หุ้นหลบไทย

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า  คาด SET แม้มีการรีบาวด์ทางเทคนิคได้บ้าง หลังปรับลงแรงเมื่อวาน อย่างไรก็ตาม สัญญาณโดยรวมยังเป็นลบ และความกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดเป็นปัจจัยกดดัน ทำให้กรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1,375 และ 1,383 จุด ตามลำดับ ด้านแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,360 และ 1,350 จุด ตามลำดับ

หุ้นเด่นตัวแรกคือ SCGP  ราคาเป้าหมาย 51 บาท มองผลการดำเนินงานพ้นจุดต่ำสุดปีนี้แล้วใน 3Q66 ขณะที่ 4Q66 คาดผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้น QoQ ตามแนวโน้มราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ดีขึ้น อีกทั้งราคาหุ้น SCGP ลดลง 38.4%YTD แย่กว่า SET ที่ลดลง 18.2%YTD ซึ่งมองสะท้อนปัจจัยลบส่วนใหญ่ไปแล้ว

หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ  GULF  ราคาเป้าหมาย 63 บาท  2H66 คาดกำไรปกติเพิ่มขึ้น YoY และ HoH แรงหนุนจากโรงไฟฟ้า IPP อีกแห่งหนึ่ง คือ GPD หน่วยที่ 2 (662.5MW) จะเริ่มดำเนินการใน ต.ค. 66 และส่วนแบ่งกำไรจาก Jackson Generation คาดจะเพิ่มขึ้น HoH เทียบกับขาดทุน 349 ลบ. ใน 1H66 จากราคาไฟฟ้าต่ำ

บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ระบุว่า ภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกวานนี้ปรับตัวลดลงในลักษณะ Across-the-board หลังถูกรุมเร้าด้วยหลายปัจจัยมหภาคคืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากแรงกดดันของอุปทานการประมูลพันธบัตรใหม่ และความกังวลต่อทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ที่ดอกเบี้ยอาจทรงตัวในระดับสูงเป็นระยะเวลาที่นานกว่าตลาดประเมินไว้ก่อนหน้า

นอกจากนี้ในฝั่งของตลาดหุ้นเอเชียได้รับ Sentiment จากการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท Country Garden Holding Co. ซึ่งนำไปสู่กลไกการจ่ายเงินให้กับสัญญา Credit Default Swap (CDS) ก่อให้เกิดความกังวลต่อผลกระทบที่อาจขยายเป็นวงกว้างทั้งต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนและสถาบันการเงินที่มีการลงทุนสินทรัพย์ในประเทศจีน

ขณะเดียวตลาดหุ้นยังเผชิญกับปัจจัยกดดันใหม่หลัง Standard Chartered Plc (-9.65%) ได้ประกาศตั้งสำรองซึ่งประกอบไปด้วยค่าธรรมเนียม 186 ล้านดอลลาร์สำหรับอสังหาริมทรัพย์ของจีน และการด้อยค่า 700 ล้านดอลลาร์จากธนาคาร China Bohai Bank ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 16%

นอกจากนี้ ธนาคารชั้นนำของโลก เช่น JPMorgan Chase & Co., Goldman Sachs Group Inc. และ Morgan Stanley ยังเผยมุมมองการชะลอการลงทุนในจีนจากสภาวะเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงต่อการเติบโตมากขึ้นในปี 2566-67

สำหรับการประชุม ECB วานนี้สมาชิกมีมติคงอัตราดอกเบี้ย Deposit Rate ที่ 4.0% ตามคาดการณ์ของตลาด เพื่อประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ประธาน ECB ได้เผยถึงโอกาสในการปรับเพิ่มดอกเบี้ยเพิ่มเติมหากสถานการณ์เงินเฟ้อมีความรุนแรงหรือยืดเยื้อมากกว่าคาด สำหรับการนำเม็ดเงินในโครงการ PEPP ที่ครบกำหนดกลับไปลงทุนยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและคาดจะสิ้นสุดในปี 2567 ค่าเงินยูโรวานนี้อ่อนค่าเล็กน้อยเป็น 0.947 ยูโรต่อดอลลาร์ และพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีปรับตัวขึ้น Outperform ภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม จากดัชนีชี้วัดความกลัว-ความโลภ ของตลาดหุ้น S&P500 วานนี้ที่ขยับเข้าใกล้ความกลัวระดับสูงสุด เราประเมินตลาดจะให้น้ำหนักการโยกย้ายเม็ดเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ สกุลเงินดอลลาร์ และทองคำ ในระยะสั้นเพื่อรอติดตามการประชุมธนาคารหลักคือ Fed, BoJ และ BoE ในสัปดาห์หน้า

สำหรับวันนี้คาด SET Index เคลื่อนไหว Sideways ในกรอบ 1,360-1,380 จุด การปรับตัวลดลงของน้ำมันดิบ BRENT สู่ระดับ US$87.93/bbl วานนี้ คาดเปิดโอกาส Day-tradeในกลุ่ม Anti-commodity หรือการเข้า Short/SBL หุ้นพลังงานต้นน้ำ เพื่อปิดสถานะภายในช่วงสิ้นวัน

หุ้นเด่นตัวแรกคือ BAREIT ราคาเป้าหมาย 8.50  เราคาดว่าราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัว หลังประกาศจ่ายเงินปันผล 3Q66 หุ้นละ 0.20 บาท คิดเป็น Dividend Yield 2.5% และคาดเงินปันผลต่อปีในปี 2566-2567 ราว 8.4% ต่อปี

จุดเด่นของ BREIT คือ การมีสัญญาเช่าที่แน่นอนจาก BA อายุราว 25 ปี ตั้งแต่ 7 ก.ย.2565 – 6 ก.ย.2590 ขณะที่อุตสาหกรรมการบินและท่องเที่ยวเข้าสู่การฟื้นตัวที่ชัดเจนหลังผ่านจุดตกต่ำแล้วในช่วง COVID ที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังมีแผนในอนาคตที่จะนำสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตและสร้างรายได้เข้ามาเพิ่ม ได้แก่ สนามบินสุโขทัย, สนามบินตราด และสินทรัพย์ส่วนที่เหลือของสนามบินสมุย

หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ  TTW  ราคาเป้าหมาย 9.50  บาท  เราคาดว่า Overhang ถูกปลดล็อกแล้ว หลัง PTW ได้รับการต่อสัญญาบริหารจัดการผลิตน้ำประปาและบำรุงรักษาไปอีก 10 ปี และต่อสัญญาได้อีก 10 ปี รวม 20 ปี จากกปภ.แล้วในวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา

แม้ราคาขายน้ำต่อหน่วยจะลดลงเหลือ 6.50 บาทต่อลบ.ม. แต่ค่าเสื่อมราคาที่ลดลง ส่งผลให้กำไรต่อหน่วยใกล้เคียงกับสัญญาสัมปทานเดิมที่ราว 6.06 บาทต่อลบ.ม. และราคาขายต่อหน่วยที่ลดลงคาดจะช่วยหนุนให้ปริมาณขายเพิ่มขึ้น เราคาดกำไร 3 ปีข้างหน้าทรงตัวที่ 2.8-2.9 พันลบ. และเงินปันผลปีละ 0.60 บาท ให้ Dividend Yield 6.7%

หุ้นเด่นอีกตัวคือ  GUNKUL   ราคาเป้าหมาย 2.70  บาท คาดว่าผลประกอบการ 3Q66 มีแนวโน้มเติบโต YoY เนื่องจากเข้าสู่ High Season ของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลม และธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกมีความ Defensive และไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว

ราคาหุ้นปรับตัวลง -52% YTD ซื้อขายที่ PER2567 ระดับ 15.3 เท่า ให้ Dividend Yield 4.6% และ Catalyst รออยู่ คือ การทยอยเซ็นสัญญา PPA โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 5.2 GW ซึ่งบริษัทได้รับคัดเลือกจำนวน 17 โครงการ กำลังการผลิตรวม 832MW

หุ้นเด่นตัวสุดท้ายคือ  SCGP  ราคาเป้าหมาย 37.75   บาท ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 37.75 บาท แนวรับ  35.00 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 33.50 บาท ราคายืนไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ และ MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal Line เป็นสัญญาณบวก เป็นสัญญาณการกลับตัว