
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 ถือเป็นปีที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่น โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง +15.9 % ซึ่งมากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา ส่วนดัชนี Nasdaq ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง +31.7% มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1983
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนในช่วงที่เหลือของปี ยังคงมีปัจจัยกดดันที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกยังคงระมัดระวัง แม้ตลาดจะปรับเพิ่มขึ้นได้ดีในครึ่งปีแรกก็ตาม และนี่คือ 5 เหตุผลที่ถือเป็นความกังวลสำคัญในช่วงที่เหลือของปี
1.ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอาจจะยังคงออกมาไม่ดี
ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ของปี ที่จะประกาศออกมาในช่วงตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมจนถึงช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้
จากข้อมูลที่จัดทำโดย FactSet คาดว่าจะออกมาหดตัวถึงราว -7.2% ซึ่งจะถือเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 ออกมาหดตัว โดยอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) คาดว่าจะยังคงปรับลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ระดับ 11.4% โดยต่ำกว่าระดับสูงสุดเมื่อปี 2021 ที่ 13%
2.ส่วนต่างของ Bond yield 2 ปี กับ 10 ปี เพิ่มมากขึ้น
สัญญาณที่นักลงทุนจับตา และมักเป็นการบ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ตามมา คือภาวะ Inverted yield curve หรือการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี มากกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งภาวะ Inverted yield curve ได้เกิดขึ้นมาแล้วยาวนานกว่า 1 ปี แต่ส่วนต่างระหว่าง Bond yield 2 ปี กับ 10 ปี ยิ่งห่างกันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนต่างสูงถึง 1.08% ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1981 เป็นต้นมา ถือเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยากที่จะหลีกเลี่ยงต่อภาวะถดถอย
3.ภาพรวมตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลกยังไม่ดีมากนัก
ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับเพิ่มขึ้นได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก แต่หากมองไปยังตลาดหุ้นอีกหลายแห่งทั่วโลกนั้นยังมีผลตอบแทนที่ไม่ดีนักในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่ดัชนี HSCEI Index (หุ้นจีน H-Shares) จะปรับตัวลดลงถึงราว -6%
ส่วนตลาดหุ้นยุโรป (ดัชนี Euro Stoxx 600) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีแรก +14% ก็เริ่มปรับตัวลดลงเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง โดยภาพรวมของเศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตได้ในอัตราที่ชะลอลง ส่วนเศรษฐกิจยุโรปยังคงต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งถึงแม้เศรษฐกิจยุโรปอาจหลีกเลี่ยงจากการเกิดภาวะถดถอยได้ แต่ก็เติบโตได้ในอัตราที่ต่ำมากในปีนี้
4.ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยสูงยังคงมีออกมาเรื่อย ๆ
ผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางทั่วโลก เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อ ยังน่าจะมีออกมาอีกในช่วงเวลาต่อจากนี้ หลังจากที่การล่มสลายของ Silicon Valley Bank เป็นเพียงแค่ปัญหาแรกที่แสดงออกมาให้เห็น
โดยผลสำรวจจาก Deutsche Bank ระบุว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูง จะทำให้เกิดปัญหาต่อตลาดการเงินโลก และมีบางส่วนที่มองว่าดอกเบี้ยสูงอาจนำมา ซึ่งปัญหาร้ายแรงในภาคการเงินได้
5.สัดส่วนการถือครองหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลจาก JPMorgan Data Asset & Alpha Group ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลจาก นักลงทุนหลายประเภทในสหรัฐฯ อาทิ นักลงทุนรายย่อย, กองทุนรวม, Hedge Funds และตลาด Options ระบุว่าสัดส่วนการถือครองหุ้นสหรัฐฯ ณ ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 7 ก.ค. 2023) เพิ่มสูงขึ้นมากที่สุดในรอบ 18 เดือน
โดยเฉพาะหุ้น 8 ตัวขนาดใหญ่ คือ Apple, Microsoft, Amazon, Meta, Netflix, Alphabet, Tesla และ Nvidia ที่ปัจจุบันเป็นสัด ส่วนกว่า 30% ของดัชนี ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นแรงนับตั้งแต่ต้นปีแทบจะทุกบริษัท โดยนักวิเคราะห์จาก JPMorgan เชื่อว่าปัจจุบันตลาดกำลังอยู่ในภาวะ FOMO (Fear of missing out)
อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าตลาดหุ้นดูจะมีแต่ปัจจัยที่น่ากังวล แต่หากดูจากข้อมูลในเชิงปริมาณผ่านสถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 1950-ปัจจุบัน พบว่าในปีที่ดัชนี S&P500 ปรับเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 10% ในช่วงครึ่งปีแรก ตลาดจะสร้างผลตอบแทนได้ดีในอีก 6 เดือนต่อมา โดยมีโอกาสที่ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ที่ 81.8% และสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 7.7% ในช่วงอีก 6 เดือนที่เหลือของปี
ดังนั้นแม้จะยังมีหลายปัจจัยที่น่ากังวลในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ไม่ได้หมายความว่าตลาดจะย่ำแย่ถึงขั้นควรหลีกเลี่ยงการลงทุน เพียงแต่การลงทุนด้วยการเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นและกระจายความเสี่ยง น่าจะยังเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดและนำมาใช้ได้ในช่วงเวลาที่เหลือของปี
ที่มา : บทความ
โดย สวภพ ยนต์ศรี AFPT™ Senior Wealth Manager บลจ.ทิสโก้