ในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นฤดูกาลของการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯที่ถูกจับตามองจากนักลงทุนเป็นพิเศษ เนื่องจากก่อนหน้านี้ทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคธนาคารและสภาพเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณชะลอตัว ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าไตรมาสแรกของปีนี้จะถือเป็นไตรมาสที่ผลการดำเนินงานออกมาไม่ดีนัก
โดยหากมองย้อนกลับไปเมื่อช่วงสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในดัชนี S&P500 จะออกมาปรับตัวลดลง -6.7% แต่ผลการดำเนินงานที่ออกมาจริง ๆ จนถึง ณ วันที่ 5 พฤษาภาคม 2023 ที่จำนวนบริษัทกว่า 85% จากทั้งหมดได้ประกาศผลการดำเนินงานออกมาแล้ว ปรากฎว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมอาจปรับลดลงแค่ -2.2% ซึ่งถือว่าไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่คาดไว้ในตอนแรก
โดยหลังจากบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ประกาศผลการดำเนินงานออกมาเกือบจะหมดแล้วนอกจากตัวเลขกำไรที่ออกมาดีกว่าที่คาด ยังมี 3 ประเด็นสำคัญที่สามารถวิเคราะห์ออกมาได้จากการประกาศงบของบริษัทต่าง ๆ ซึ่งน่าจะช่วยทำให้เห็นภาพรวมของการลงทุนในช่วงเวลาต่อจากนี้ได้
ประเด็นแรก คือ ผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มธนาคาร ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาหลังจาก Silicon Valley Bank และ First Republic Bank ต้องประสบปัญหาจนถึงขั้นไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้ ทำให้เกิดความกังวลว่าปัญหาจะลุกลามบานปลายไปยังธนาคารอื่น ๆ ในสหรัฐ ฯ
แต่จากผลการดำเนินงานที่ออกมา ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ 6 แห่งที่ประกอบไปด้วย JPMorgan Chase , Bank of America , Citigroup , Wells Fargo , Goldman Sachs และ Morgan Stanley ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะ JPMorgan Chase ที่มีรายได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และยังเป็นเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวหลังจากเข้าซื้อกิจการ First Republic Bank และทำให้ฐานเงินฝากและมูลค่าสินทรัพย์โดยรวมของ JPMorgan Chase เพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก
นอกจากนี้ธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งยังคงได้รับผลประโยชน์จากช่วงที่ดอกเบี้ยยังคงเป็นขาขึ้น ถึงแม้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงยังคงได้รับผลกระทบก็ตาม ดังนั้นถึงแม้ปัญหาที่เกิดขึ้นในธนาคารขนาดกลางและขนากเล็กของสหรัฐ ฯ ยังคงอยู่ แต่กับธนาคารขนาดใหญ่แล้ว ยังคงไม่ได้น่ากังวลและหากเกิดปัญหากับธนาคารขนาดเล็กขึ้นอีก บรรดาธนาคารขนาดใหญ่ยังคงมีศักยภาพในการยื่นมือเข้าช่วยเหลือหากว่ามีความจำเป็น
ประเด็นที่ 2 คือ ผลการดำเนินงานของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ออกมาไม่ได้แย่เหมือนที่นักวิเคราะห์คาดไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งถึงแม้ในภาพรวมจะยังคงมีรายได้เติบโตลดลง แต่หลายบริษัทเริ่มมีสัญ ญาณของการฟื้นตัว หลังจากทำการปรับกลยุทธ์ด้วยการปรับลดค่าใช้จ่าย และปรับลดจำนวนพนักงานลง
นอกจากนี้บริษัทที่ทำธุรกิจด้าน Cloud Computing ยังคงมีรายได้ที่เติบโตได้ดี ทั้ง Alphabet , Microsoft และ Amazon ส่วนบริษัทที่พึ่งพารายได้จากการโฆษณาเป็นหลักอย่าง Meta ถึงแม้จะยังมีรายจ่ายจากการลงทุนพัฒนา Metaverse เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่รายได้จากโฆษณาที่กลับมาโตได้ดีในประเทศจีนหนุนให้ผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทออกมาดี
ด้านยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ก็สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนด้วยยอดขาย iPhone ที่ออกมามากกว่าคาด ถึงแม้ภาพรวมยอดขาย Smartphone ทั่วโลกจะอยู่ในช่วงขาลงก็ตาม ดังนั้นหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังถือว่าน่าจะเป็นที่พิงให้กับนักลงทุนได้ในสภาวะการลงทุนที่เกิดขึ้นในปัจจุบั
ส่วนประเด็นสุดท้ายคือ ในช่วงการให้ความเห็นจากผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนที่การเก็บสถิติจาก Refinitiv transcripts และ Reuters ระบุว่าในการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้มีการกล่าวถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องเศรษฐกิจถดถอยลดลง
โดยคำว่า “Recession” , “Downturn” และ “Slowdown” ถูกพูดถึงโดย 41% จากจำนวนบริษัททั้งหมด ซึ่งลดลงจาก 59% ในการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ของปี 2022 , 52% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2022 และ 43% จากไตรมาสที่ 4 ของปี 2022
โดยถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ กังวลเกี่ยวกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยลดลง หรือ อย่างน้อยผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจไม่ได้รุนแรงเหมือนกับที่กังวลไว้ในตอนแรก และบริษัทต่าง ๆ ก็ได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรและเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจในช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อเตรียมรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจที่มีทิศทางชะลอตัวมาระยะหนึ่งแล้ว
ส่วนอีกหนึ่งคำพูดที่มีการเก็บสถิติและมีการพูดถึงมากขึ้นในช่วงการประกาศผลการดำเนินงานคือคำที่เกี่ยวข้องกับ “A.I.” โดยมีบริษัทเพิ่มมากถึง 85% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 ดังนั้นในช่วงเวลาต่อจากนี้บทบาทของ A.I. ที่จะถูกนำมาใช้ในบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ น่าจะเพิ่มมากขึ้น และบริษัทที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ A.I. อาทิ บริษัทผลิตชิปอย่าง Nvidia ยังคงมีโอกาสได้รับประโยชน์ในช่วงเวลาต่อจากนี้
ที่มา : นายสวภพ ยนต์ศรี AFPT™ Senior Wealth Manager บลจ.ทิสโก้