
นางสาวภัทรวสี สุวรรณศร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการปฏิบัติการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ความคืบหน้าของการเปลี่ยนระบบการซื้อขายหุ้น (SET) และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(TFEX) ในตลาดหุ้นไทยที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 พ.ค. นี้ ไปใช้ระบบของ NASDAQ ที่ตลาดหุ้นชั้นนำของโลกเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ของญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฮ่องกง หรือสิงคโปร์
ซึ่งทำให้การเชื่อมต่อแพลตฟอร์มและการส่งคำสั่งนั้นทำได้มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังช่วยยกระดับการให้บริการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย เช่น ตลาดหุ้นในต่างประเทศมีนวัตกรรมใหม่ๆ หรือมีสินค้าใหม่ เราก็สามารถขึ้นสินค้าเดียวกันได้หากต้องการ
สำหรับสิ่งที่แตกต่างจากระบบการซื้อขายเดิมนั้น มี 4 หัวข้อหลัก คือ
1. การส่งคำสั่งซื้อขายจากเดิม ที่สามารถดูคำสั่งซื้อขายได้ 5 ช่องราคา ระบบใหม่จะสามารถดูได้ถึง 10 ช่องราคา ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถนำไปใช้ข้อมูลประกอบการซื้อขายหุ้นได้
2. นักลงทุนยังสามารถตั้งคำสั่งแบบ Good till cancel (GTC) หรือสามารถคงสถานะคำสั่งซื้อขายได้ข้ามวันได้นานสุด 30 วัน
3. นอกจากนี้ยังปรับการคำนวณราคาเปิด ปิด โดยอาจอยู่นอกเหนือกรอบราคา ซิลลิ่ง หรือ ฟลอร์ ได้ แต่ไม่เกิน 1 ช่วงราคา และปรับซิลลิ่ง หรือ ฟลอร์ ในหุ้น กระดานหุ้น -F ให้สามารถเพิ่มขึ้น หรือลดลง ได้ 60% ของราคาอ้างอิง ในทุกวิธีการซื้อขายหุ้น
4. ตลาดหลักทรัพย์ยังมีการเพิ่มเครื่องหมาย P หรือ พักการซื้อขายหุ้นช่วงคราว โดยจะใช้ประกอบกับมาตรการกำกับการซื้อขายระดับที่ 3 เพื่อให้เกิดความชัดเจนแก่ผู้ลงทุนมากขึ้น โดย P จะใช้เฉพาะในกรณีที่หุ้นมีราคาที่เคลื่อนไหวผิดปกติ ไม่ได้เกิดจากตัวบริษัท ส่วนเครื่องหมาย SP และ H นั้นจะใช้ในกรณีที่บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูล หรือ เกิดจากความผิดปกติของบริษัทและนักลงทุนต้องรับทราบ
นายถิรพันธุ์ สรรพกิจ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงระบบการซื้อขายครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างที่สำคัญของตลาดทุนไทย ให้สามารถเชื่อมต่อกับต่างประเทศได้อย่างราบรื่น โดยตลาดหลักทรัพย์ได้มีการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และ ร่วมกับสมาชิกในการทำงานร่วมกันมามากกว่า 1 ปี
ซึ่งในมุมของผู้ลงทุนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ กันการเปลี่ยนแปลงระบบครั้งนี้ จะมีแต่ผู้ที่ทำระบบ และเชื่อมต่อระบบหลังบ้านบางอย่างบริษัทหลักทรัพย์ที่จะต้องมีการปรับระบบให้เข้ากันมากขึ้น