svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเงิน-การลงทุน

 นักเศรษฐศาสตร์ประสานเสียงกนง. "ขึ้นดอกเบี้ย" 0.25% วันนี้ (29 มี.ค.)

29 มีนาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

นักเศรษฐศาตร์ฟันธงกนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% คุมเงินเฟ้อ ชี้เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ตลาดเงินยังผันผวน เผยกำลังซื้ออ่อนแอทำให้ปรับขึ้นราคาสินค้าไม่ได้มาก

นายสมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center(EIC)ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) วันนี้ (29มี.ค.) คาดว่า กนง.จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25%

ทั้งนี้เป็นผลมาจากเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น จากการที่ภาคการท่องเที่ยวกลับมาดีกว่าที่คาดและดีมานด์ของประเทศเริ่มฟื้นตัว เพื่อให้ระดับอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น และในเดือนพ.ค.จะปรับขึ้นอีกครั้งทำให้อัตราดอกเบี้ยไปหยุดที่ 2%

อย่างไรก็ตาม  อัตราดอกเบี้ยที่ภาวะปกติควรจะอยู่ในระดับ 2.5%  แต่วันนี้เรายังเห็นความผันผวนของตลาดการเงิน และ อัตราเงินเฟ้อที่ปรับลงมาแล้ว ดังนั้นฉะนั้นจึงทำให้การขึ้นดอกเบี้ยไปได้ต่อ แต่จะไม่ถึงปลายทางที่ 2.5%

สำหรับปัจจัยเรื่องของเงินเฟ้อต่อการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น เขากล่าวว่า ขณะนี้ อัตราเงินเฟ้อได้ปรับลดลงค่อนข้างเร็วกว่าที่คาด แต่คิดว่า ท้ายที่สุดจะลงมาแล้วทรงๆตัวได้ และคิดว่า ไม่ลงต่อ เพราะเมื่อเศรษฐกิจฟื้น เราจะเห็น Demand Pull เพราะผู้ประกอบการมีต้นทุนที่แพงขึ้น

ขณะเดียวกัน กำลังซื้อยังอ่อนแอ ทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้มาก แต่วันนี้ ราคาน่าจะเริ่มปรับขึ้นได้ โดยภาพที่จะเห็น คือ ภาพที่เกิดขึ้นในอเมริกา คือ แม้อัตราเงินเฟ้อจะลดลงมา แต่ในอนาคต เงินเฟ้ออาจจะปรับขึ้นไปอีก โดยแม้ว่า ในฝั่งซัพพลาย หรือ ราคาน้ำมันจะปรับลดลงมา แต่ส่วนที่จะปรับขึ้น คือ ภาคบริการ

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคการเงินของโลกถามว่า  ขึ้นอยู่กับวิธีการบริหารความเสี่ยงของการทำธุรกิจในแต่ละแบงก์ แต่จะลุกลามทั้งระบบหรือไม่ภาคการเงิน คิดว่ามีโอกาสน้อย และความเชื่อมโยงมาที่เศรษฐกิจไทย ก็ถือว่าน้อยเช่นกัน

นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าวิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด(มหาชน)หรือ ทีทีบี  กล่าวว่า  กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ และ ปรับขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมครั้งหน้าในเดือนพ.ค.นี้ เพราะเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวจากการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ

ทั้งนี้เมื่อกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบเดือนพ.ค.แล้ว ก็น่าจะหยุดการปรับขึ้นดอกเบี้ยไว้ก่อน เพราะมองว่า ผลของการส่งออกที่ชะลอตัวน่าจะเห็นในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้ TTB มองว่า การส่งออกของไทยจะขยายตัวติดลบที่ 0.5% ส่วนจีดีพีปีนี้จะขยายตัวได้ 3.4%

สำหรับการขึ้นดอกเบี้ยของกนง.ที่ทยอยปรับขึ้นล่าช้ากว่าประเทศอื่น ถือว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมแล้ว เพราะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า ถ้าปรับขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐ เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบมาก เนื่องจาก ตัวเลขหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยช้ากว่าประเทศอื่น

ส่วนเงินทุนไหลออกจากส่วนต่างดอกเบี้ยมีไม่มาก เพราะอัตราดอกเบี้ยของไทยต่ำกว่าประเทศ และะดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุล เนื่องจากการท่องเที่ยวยังดี หากว่าเครื่องยนต์ส่งออกดับ ดุลบัญชีเดินสะพัดอาจเป็นความเสี่ยง เพราะท่องเที่ยวอาจพยุงเศรษฐกิจไม่ไหว

 

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัยและที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า  การประชุมกนง.ครั้งนี้คาดว่าขึ้นดอกเบี้ย  0.25% จาก 1.5% เป็น1.75%  ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งสุดท้าย เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยแข็งแกร่งเหมือนการประชุมครั้งก่อนหน้า

โดยรอบที่แล้วธปท.มีปัจจัยพิจารณาอยู่ 2 เรื่อง คือ เงินเฟ้อกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งเราคิดว่า แรงกดดันเงินเฟ้อน่าจะบรรเทาลง หลังเศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวได้เด่น การผลักภาระต้นทุนผู้บริโภค หลังจากผู้ประกอบการต้นทุนสูงขึ้นในปีที่แล้วซึ่งแรงนี้ก็เริ่มแผ่วลง เพราะภาพรวมเศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นเด่นขนาดนั้น และภาคการส่งออกก็ยังดูไม่ค่อยดีการท่องเที่ยวเองก็ไม่ได้กระจายตัวมากนัก จึงมองภาพความเสี่ยงเศรษฐกิจมีค่อนข้างมาก

สำหรับอัตราเงินเฟ้อนั้น น่าจะลงเร็วกว่าที่คาด อาจไม่ถึง 3% และอาจเข้าสู่กรอบเงินเฟ้อด้านบนของแบงก์ชาติที่ 1.3% ได้ภายในไตรมาส 2/66 การขึ้นอัตราดอกเบี้ยน่าจะมีข้อจำกัด โดยอาจจะขึ้นแค่รอบนี้ก่อน และ รอดูสถานการณ์ โดยเฉพาะการให้น้ำหนักว่าสหรัฐเองก็น่าใกล้จะหมดรอบการปรับขึ้นดอกเบี้ยเช่นกัน

สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะปรับขึ้น 1.75% คิดว่า เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย เพราะต้องมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ เปลี่ยนไปจากอดีต เพราะเศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตในลักษณะเร่งตัวแรงอย่างที่คิดไว้ เพราะภาคการส่งออกเองก็ฉุดเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อที่มาจากราคาพลังงานก็ลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ก็มองว่า อัตราดอกเบี้ยอาจปรับขึ้นได้ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงในอนาคต

ส่วนปัญหาภาคการเงินในต่างประเทศว่า เหตุการณที่เกิดขึ้น อย่างน้อยมีผลทำให้คนเริ่มคาดการณ์ว่า สหรัฐน่าจะใกล้สิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบหน้า 5.65% และจะปรับลดลงในครั้งต่อไป  ดังนั้นภาพการลดดอกเบี้ยปลายปีที่แรงขึ้นก็มีผลให้ค่าเงินบาทไม่ได้อ่อนค่า

ซึ่งปกติแล้วส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะทำให้เงินบาทอ่อนค่า แต่ตอนนี้บาทไม่ได้กลับไปอ่อน เพราะปัจจัยดังกล่าว ซึ่งแบงก์ชาติเองก็อาจมีช่องทางที่ไม่ขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐ และหันมาดูอุปสงค์ในประเทศเป็นหลัก

logoline