นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยกับ Nation Online ว่า ค่าเงินบาทสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวในกรอบ 32.85-33.50 บาทต่อดอลลาร์ ปัจจัยที่ต้องจับตาสำหรับทิศทางเงินบาท คือ การเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ รวมถึงทิศทางราคาทองคำ เนื่องจากปริมาณการทำธุรกรรมการซื้อขายทองคำมีผลกระทบต่อเงินบาทพอสมควร หรือมีสัดส่วน 80%
นอกจากนี้ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ และมุมมองต่อค่าเงินบาท ของผู้เล่นต่างชาติ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้เช่นกัน โดยล่าสุด จะเห็นได้ว่า นักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายบอนด์ระยะสั้นเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา และเริ่มเห็นการปรับมุมมองของผู้เล่นบางส่วนที่คาดว่า เงินบาทอาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้างในระยะสั้น (เพิ่ม Long USDTHB)
ส่วนไฮไลท์ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญนั้น สหรัฐฯ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาจมีไม่มากนัก ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด โดยเฉพาะนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนยุโรป ตลาดจะรอจับตาดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) รวมถึง รอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปีก่อนหน้า ซึ่งหากเศรษฐกิจอังกฤษ ขยายตัวแย่กว่าคาด หรือหดตัวลง ก็อาจกดดันให้ผู้เล่นในตลาดกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษมากขึ้น ทำให้เงินปอนด์ (GBP) อาจอ่อนค่าลงต่อได้
ขณะที่เอเชีย ตลาดจะจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และ ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ซึ่งตลาดมองว่า ทั้ง RBA จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายราว +0.25% สู่ระดับ 3.35% และ RBI ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ไปอยู่ที่ 6.50%
สำหรับไทยนั้น ตลาดจะรอจับตารายงานเงินเฟ้อ CPI เดือนมกราคม ซึ่งหากยังอยู่ในระดับสูงก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจขึ้นดอกเบี้ยได้ไม่น้อยกว่าระดับ 2.00% ได้
นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกก็จะมีผลกระทบต่อทิศทางตลาดการเงินในระยะสั้นได้ โดยหากผลประกอบการส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจกดดันให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นร้อนแรงของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้
ขณะที่มองฟันด์โฟลว์ สัปดาห์หน้า แม้ตลาดการเงินโดยรวมมีแนวโน้มที่จะอยู่ในโหมดเปิดรับความเสี่ยง แต่นักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องนัก ขณะที่ผู้เล่นต่างชาติบางส่วนก็อาจยังคงทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยต่อมองขายหุ้นสุทธิ 2-3 พันล้านบาท
ส่วนบอนด์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนยังคงเทขายบอนด์ระยะสั้นและบอนด์ระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรามองว่า นักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบกลับเข้ามาซื้อบอนด์ไทย จนกว่าจะเห็นสัญญาณการกลับมาแข็งค่าขึ้นที่ชัดเจนของเงินบาท หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีการปรับตัวขึ้นอีกครั้ง (รอ Buy on Dip) ประเมิน ขายบอนด์สุทธิ 5 พันล้านบาท
น.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแล โกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ Nation Online ถึงค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้าว่า กรอบการเคลื่อนไหว 32.90-33.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐดีเกินคาด พุ่งขึ้น 517,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2565 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 187,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2512 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.6% กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนธ.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 260,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้น 223,000 ตำแหน่ง
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และเพิ่มขึ้น 4.4% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.3%
ทั้งนี้ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด อยู่ที่ระดับ 62.4%
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าเงินบาทอ่อนค่าชั่วคราว ขณะที่ตลาดขายทำกำไร เนื่องจากข่าวลบของเงินดอลลาร์ถูกสะท้อนไปมากพอสมควรแล้ว และยังไม่ชัดเจนว่าธนาคารสหรัฐหรือ เฟดจะลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้หรือคงไว้ที่ระดับสูงเป็นเวลานาน โดยแม้ภาพรวมเงินเฟ้อโลกแผ่วลงตลาดแรงงานสหรัฐฯยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้คือข้อมูลเงินเฟ้อเดือน ม.ค. ของไทย บรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลหรือ บอนด์ยิลด์สหรัฐฯ
ส่วนการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาคตั้งแต่ 3 ม.ค.-3 ก.พ. พบว่าเงินบาท-ไทยแข็งค่ามากสุด 5.02 % รองลงมาคือรูเปียห์-อินโดนีเซีย 4.56% เปโซ-ฟิลิปปินส์ 3.87%ดอลลาร์-ไต้หวัน 3.37% ริงกิต-มาเลเซีย 3.16% วอน-เกาหลีใต้ 3.02% หยวน-จีน 2.29% ดอลลาร์-สิงคโปร์ 2.14% ดอง-เวียดนาม 0.78% รูปี-อินเดีย 0.61%
โดยปีนี้บาทแข็งค่ากว่า 5% สูงสุดในภูมิภาค ตามกระแสเงินทุนไหลเข้า การคาดการณ์ของตลาดว่าเฟดใกล้ยุติการขึ้นดอกเบี้ย และแนวโน้มภาคท่องเที่ยวที่สดใสหลังจีนเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีถึง 2 ก.พ. ต่างชาติซื้อหุ้นไทย 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ขายพันธบัตร 2.8 พันล้านบาท มีการปรับพอร์ต.ทำกำไรเป็นระยะ