
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) วิเคราะห์ราคาทองคำ ว่า สัญญาณทองคำปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 1,900 ดอลลาร์ ถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นและดอลลาร์ที่แข็งค่า หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ในสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 517,000 ตำแหน่ง ในเดือน ม.ค. 2566 จากเดิม 223,000 ตำแหน่ง สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2565
ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2512 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.6%
ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ดีดตัวสูงขึ้น นักลงทุนจึงทิ้งสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงแบบทองคำ ไปหาสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงกว่า เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
นอกจากนี้ราคาทองได้รับผลกระทบ จากความกังวลว่า ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะเป็นปัจจัยหนุนการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 30 ม.ค-4 ก.พ 2566 ราคาทองคำมีการปรับขึ้นลงผันผวน รวม 19 รอบ ทั้งสัปดาห์ปรับลดลงรวม 250 บาท ดังนี้
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทฮั่ว เซ่งเฮง โกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ราคาทองในสัปดาห์นี้มีความผันผวนอย่างมาก โดยในช่วงกลางสัปดาห์ เนื่องจากดอลลาร์อ่อนค่า จากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 4.50%-4.75% ตามตลาดคาด โดยทองคำปรับราคาขึ้นไปถึง 1,955-1,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์
โดยปลายสัปดาห์ได้ปรับลงต่อเนื่องจากการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% แต่ต่างกันตรงที่ ECB ย้ำว่าจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าเงินเฟ้อจะลดลง ส่วน BoE ระบุว่าเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
เป็นการส่งสัญญาณให้ตลาดทราบว่าธนาคารกลางมีมุมมองว่าภาวะเงินเฟ้อยุโรปกำลังชะลอลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าคาดการณ์ ทำให้ราคาทองร่วงลงทันทีกว่า 60 ดอลลาร์ต่อออนซ์วานนี้(4 ก.พ.66)แตะระดับ 1,866 ดอลลาร์ต่อออนส์
สำหรับทิศทางราคาทองคำหลังจากนี้น่าจะมีการปรับลงต่อเนื่องในระยะสั้นๆ อาจจะมีการปรับลงไปทดสอบใกล้ระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาในประเทศที่บาทละ 29,000-29,200 บาท จึงแนะนำนักลงทุนให้เข้าเล่นรอบ หรือ เก็งกำไรระยะสั้น และ กระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่นๆ