svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

สภาพัฒน์คงจีดีพีปีนี้โต 2% จับตาภาษีทรัมป์กระทบชัดเจนปีหน้า

สภาพัฒน์ประกาศจีดีพีไตรมาส 3 โต 1.2% คงประมาณการจีดีพีปี 2568 ขยายตัวที่ 2% ส่งออกเริ่มส่งสัญญาณชะลอ คาดผลกระทบภาษีทรัมป์ส่งผลชัดเจนปีหน้า

นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2568-2569 ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2% ชะลอลงจากการขยายตัว 2.5% ในปี 2567 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ (-0.2) และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.8% ของจีดีพี

จากเดิมที่คาดการณ์ว่าการส่งออกของโลกจะหดตัวลง แต่การส่งออกในปีนี้ยังมีการเติบโตอยู่ทำให้มีการปรับขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้จากเดิม 2.7% มาอยู่ที่ 3.4% แต่ในปี 2569 คาดว่าจะได้รับผลกระทบจนปริมาณการค้าโลกลดลงเหลือ 2.3% โดยไทยมีสินค้าที่จะถูกผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐกว่า 82% ซึ่งมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ขณะที่สินค้าที่มีการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออกมีสินค้าจากจีนที่สวมสิทธิ์เพื่อส่งออกของไทยก็มีสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ขณะที่โครงสร้างการส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐก็เพิ่มขึ้น และสินค้าที่เรานำเข้าจากจีนก็เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญที่ต้องมีการพิจารณากันต่อไป 

 

อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
 

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 1.2 ชะลอลงจากร้อยละ 2.8 ในไตรมาสที่สองของปี 2568 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2568 ลดลงจากไตรมาสที่สองของปี 2568 ร้อยละ 0.6 (%QoQ_SA) รวม 9 เดือนแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.4

ด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง การส่งออกสินค้าชะลอตัว ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกบริการลดลง

การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 2.6 ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการขยายตัวของการใช้จ่ายในทุกหมวด การใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 3.0 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของการใช้จ่ายกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเป็นสำคัญ การใช้จ่ายหมวดสินค้าคงทนขยายตัวร้อยละ 5.5 เทียบกับร้อยละ 6.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะที่ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 14.0 การใช้จ่ายหมวดบริการขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของการใช้จ่ายกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร และกลุ่มบริการด้านสุขภาพ 

สภาพัฒน์คงจีดีพีปีนี้โต 2% จับตาภาษีทรัมป์กระทบชัดเจนปีหน้า

ส่วนการใช้จ่ายหมวดสินค้ากึ่งคงทนขยายตัวร้อยละ 0.9 เทียบกับร้อยละ 2.0 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการขยายตัวของการใช้จ่ายกลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้า และกลุ่มหนังสือและเครื่องเขียน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 44.7 ลดลงจากระดับ 48.0 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลลดลงร้อยละ 3.9 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยค่าซื้อสินค้าและบริการ รายจ่ายการโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงิน และค่าตอบแทนแรงงาน ลดลงร้อยละ 0.2 ร้อยละ 22.1 และร้อยละ 1.0 ตามลำดับ สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 20.2 (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 21.7 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าร้อยละ 19.9 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) รวม 9 เดือนแรกของปี 2568 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 2.6 และร้อยละ 0.3 ตามลำดับ

การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ 1.1 ชะลอลงจากร้อยละ 5.8 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อเนื่องจากร้อยละ 4.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของการลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือร้อยละ 5.5 ต่อเนื่องจากร้อยละ 5.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างลดลงร้อยละ 0.6 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 2.0 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วน

การลงทุนภาครัฐ ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 5.3 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 10.1 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลดลงของการลงทุนในหมวดก่อสร้างร้อยละ 6.6 ขณะที่การลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือขยายตัวร้อยละ 1.0 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 20.5 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 15.1 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ต่ำกว่าร้อยละ 37.5 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) รวม 9 เดือนแรกของปี 2568 การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 3.7 โดยการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 2.3 และร้อยละ 7.7 ตามลำดับ

ด้านการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 86,196 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 ชะลอลงจากร้อยละ 15.0 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 เป็นต้นมา โดยดัชนีปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ 10.9 ชะลอลงจากร้อยละ 14.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวของการส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนดัชนีราคาสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ต่อเนื่องจากร้อยละ 0.4 ในไตรมาสก่อนหน้า กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น อาทิ คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 125.0) อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม (ร้อยละ 55.2) แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน (ร้อยละ 31.7) เครื่องประดับ (ร้อยละ 22.2) เครื่องจักรและอุปกรณ์ (ร้อยละ 14.3) และทุเรียน (ร้อยละ 31.5) กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง อาทิ ข้าว (ลดลงร้อยละ 27.0) ยาง (ลดลงร้อยละ 21.4) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 33.2) เคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี (ลดลงร้อยละ 2.5) และสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (ลดลงร้อยละ 0.7) การส่งออก

สินค้าไปตลาดส่งออกหลักขยายตัว ได้แก่ ตลาดสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป (27) ขณะที่การส่งออกสินค้าไปยังตลาดเกาหลีใต้ และออสเตรเลียลดลง ส่วนการนำเข้าสินค้า มีมูลค่า 79,231 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 12.2 ชะลอลงจากร้อยละ 16.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามปริมาณการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 ขณะที่ราคานำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 7.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (224.4 พันล้านบาท) สูงกว่าการเกินดุล 5.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (172.0 พันล้านบาท) ในไตรมาสก่อนหน้า รวม 9 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกมีมูลค่า 250,811 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 13.8 ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 230,384 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 12.1 ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 20.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (672.8 พันล้านบาท)

ด้านการผลิต การขายส่งและการขายปลีกขยายตัวเร่งขึ้น ส่วนสาขาเกษตรกรรม สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และสาขาการก่อสร้างปรับตัวลดลงสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ขยายตัวร้อยละ 1.9 ชะลอลงจากร้อยละ 6.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวของการผลิตในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ข้าวเปลือก กลุ่มไม้ผล และปาล์มน้ำมัน ประกอบกับการลดลงของหมวดประมง ในขณะที่หมวดปศุสัตว์กลับมาขยายตัว ตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสุกร และไก่เนื้อ เป็นสำคัญ ผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ ๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ (1) กลุ่มไม้ผล เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 (2) ข้าวเปลือก เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 (3) ยางพารา เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 (4) ไก่เนื้อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 และ (5) สุกร เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ ๆ บางรายการปรับตัวลดลง ได้แก่ (1) มันสำปะหลัง ลดลงร้อยละ 14.8 (2) กุ้งขาวแวนนาไม ลดลงร้อยละ 10.4 และ (3) โคเนื้อ ลดลงร้อยละ 1.7 ตามลำดับ ดัชนีราคาสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ 12.8 ตามการลดลงของดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญ ๆ ได้แก่ (1) ข้าวเปลือก ลดลงร้อยละ 19.0 (2) กลุ่มไม้ผล ลดลงร้อยละ 27.8 โดยเฉพาะทุเรียน (ลดลงร้อยละ 24.9) และลำไย (ลดลงร้อยละ 51.3) (3) ยางพารา ลดลงร้อยละ 15.8 (4) โคเนื้อ ลดลงร้อยละ 29.1 และ (5) มันสำปะหลัง ลดลงร้อยละ 13.7 ตามลำดับ การลดลงของดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมลดลงร้อยละ 11.4 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 6.0 ในไตรมาสก่อน รวม 9 เดือนแรกของปี 2568 การผลิตสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1

สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ลดลงครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ร้อยละ 1.6 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 1.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว เช่น การปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น การปิดโรงงานชั่วคราวเพื่อย้ายฐานการผลิตยานยนต์จากภาคกลางไปยังภาคตะวันออกเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เป็นต้น สอดคล้องกับการลดลงของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ร้อยละ 2.4 โดยกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 3.6 การผลิตสินค้าสำคัญ ๆ ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 7.9) การผลิตกาแฟ ชา และสมุนไพรผงสำหรับชงเป็นเครื่องดื่ม (ลดลงร้อยละ 75.3) และการผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และน้ำแร่และน้ำดื่มบรรจุขวดประเภทอื่น ๆ (ลดลงร้อยละ 8.8) ตามลำดับ

ส่วนการผลิตสินค้าสำคัญ ๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ การผลิตเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน (ร้อยละ 11.6) เป็นต้น กลุ่มการผลิตที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 - 60 ลดลงครั้งแรกในรอบ 2 ไตรมาส ร้อยละ 2.0 การผลิตสินค้าสำคัญ ๆ ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ การผลิตยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 3.4) และการทอผ้า (ลดลงร้อยละ 13.5) ตามลำดับ ส่วนการผลิตสินค้าสำคัญ ๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ การผลิตจักรยานยนต์ (ร้อยละ 8.9) และกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 0.2 การผลิตสินค้าสำคัญ ๆ ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ การผลิตเครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้งานทั่วไป (ลดลงร้อยละ 0.9) การผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ (ลดลงร้อยละ 3.5) และการผลิตสัตว์น้ำบรรจุกระป๋อง (ลดลงร้อยละ 6.3) ตามลำดับ การผลิตสำคัญ ๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ การผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 11.5) สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 57.39 ต่ำกว่าร้อยละ 59.04 ในไตรมาสก่อนหน้า และต่ำกว่าร้อยละ 58.77 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน นับเป็นอัตราต่ำสุดในรอบ 21 ไตรมาส (นับตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปี 2563) รวม 9 เดือนแรกของปี 2568 การผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 0.4 และอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 59.15

สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัวร้อยละ 0.8 ชะลอลงจากร้อยละ 1.4 ในไตรมาสก่อน สอดคล้องกับการชะลอตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยและการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวไทย (ไทยเที่ยวไทย) มีจำนวน 65.51 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 15 ร้อยละ 3.1 เทียบกับร้อยละ 4.4 ในไตรมาสก่อนหน้า รายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 2.86 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 15 ร้อยละ 5.5 เทียบกับร้อยละ 3.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมีจำนวน 7.430 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 80.66 เมื่อเทียบกับในช่วงก่อนโควิด-19) ลดลงร้อยละ 13.5 สำหรับมูลค่าบริการรับด้านการท่องเที่ยวอยู่ที่ 0.315 ล้านล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 69.52 เมื่อเทียบกับในช่วงก่อนโควิด-19) ลดลงร้อยละ 8.4 เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 6.01 แสนล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.3 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อนหน้า 

สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 67.40 ต่ำกว่าร้อยละ 71.06 ในไตรมาสก่อนหน้า และต่ำกว่าร้อยละ 68.54 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวม 9 เดือนแรกของปี 2568 สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวร้อยละ 3.3 และอัตราการเข้าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 71.13สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 เร่งขึ้นจากร้อยละ 6.3 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการขยายตัวเร่งขึ้นของปริมาณการจำหน่ายยานยนต์ และการขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า รวม 9 เดือนแรกของปี 2568 สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ชะลอลงจากร้อยละ 3.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ประกอบด้วย (1) บริการขนส่งทางอากาศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 ชะลอลงจากร้อยละ 7.6 ในไตรมาสก่อนหน้า (2) บริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.8 ในไตรมาสก่อนหน้า และ (3) บริการขนส่งทางน้ำ ลดลงร้อยละ 1.4 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.4 ในไตรมาสก่อนหน้า 

สำหรับบริการสนับสนุนการขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 และบริการไปรษณีย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ตามลำดับ รวม 9 เดือนแรกของปี 2568 สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 สาขาการก่อสร้าง ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 4.0 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 8.0 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการก่อสร้างภาครัฐที่ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 6.6 โดยเฉพาะการลดลงของการก่อสร้างของรัฐบาล ในขณะที่การก่อสร้างรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น และการก่อสร้างภาคเอกชนลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 ร้อยละ 0.6 เทียบกับการลดลงร้อยละ 2.0 ในไตรมาสก่อน ตามการปรับตัวลดลงของการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ในขณะที่การก่อสร้างอาคารที่มิใช่ที่อยู่อาศัยกลับมาขยายตัวตามการขยายตัวของการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม เป็นสำคัญ รวม 9 เดือนแรกของปี 2568 สาขาการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 5.6 โดยการก่อสร้างภาครัฐขยายตัวร้อยละ 10.2 (การก่อสร้างของรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.0 ส่วนการก่อสร้างของรัฐวิสาหกิจลดลงร้อยละ 1.4) และการก่อสร้างภาคเอกชนลดลงร้อยละ 2.0

เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 0.76 ต่ำกว่าร้อยละ 0.88 ในไตรมาสก่อน และต่ำกว่าร้อยละ 1.02 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ร้อยละ -0.7 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.8 ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (88.3 พันล้านบาท) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ 262.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 มีมูลค่าทั้งสิ้น 12.23 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.8 ของ GDP

เศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ 1.2 – 2.2 (ค่ากลางการประมาณการร้อยละ 1.7) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาล การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการเพิ่มขึ้นของผลผลิตทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก และภาระหนี้สินภาคเอกชนที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง รวมทั้งความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก และบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง โดยในกรณีฐาน คาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 2.1 และร้อยละ 0.9 ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 0.3 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.0 – 1.0 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.4 ของ GDP

รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2569 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้ 

1.    การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.1 ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.8 ในปี 2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนและภาคบริการ สอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงจากฐานการบริโภคในปี 2568 ที่ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ ประกอบกับผลของฐานรายได้ของภาคครัวเรือนทั้งภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรมีแนวโน้มขยายตัวอย่างช้าๆ และ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.2 เร่งขึ้นจากร้อยละ 0.3 ตามการเพิ่มขึ้นของกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำทั้งในส่วนของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 และงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปี

2.    การลงทุนรวม คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.4 ชะลอลงจากร้อยละ 3.3 โดย (1) การลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.9 ชะลอลงจากร้อยละ 2.0 สอดคล้องกับแนวโน้มการส่งออกสินค้าและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก และ (2) การลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.9 ชะลอลงจากร้อยละ 6.8 สอดคล้องกับกรอบงบประมาณรายจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ 2569 ที่ขยายตัวร้อยละ 18.2 ชะลอลงจากร้อยละ 39.0 ในปีงบประมาณก่อนหน้า เช่นเดียวกับงบรายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ปรับตัวลดลงร้อยละ 6.6 เทียบกับการการลดลงร้อยละ 3.9 ในปีก่อนหน้า

3.     มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะลดลงร้อยละ 0.3 เทียบกับการขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 11.2 ในปี 2568 สอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า ขณะที่การส่งออกบริการมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่ารายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2569 จะอยู่ที่ 1.65 ล้านล้านบาท เทียบกับ 1.52 ล้านล้านบาทในปี 2568 ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2569 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ 1.1 ชะลอลงจากร้อยละ 8.8 ในปีก่อนหน้า

ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2568 และปี 2569 การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2568 และปี 2569 ควรให้ความสำคัญกับ

1)    การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับ (1) การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 ของกรอบงบประมาณรายจ่ายลงทุน (2) การเร่งดำเนินการตามมาตรการภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้มีการอนุมัติไปแล้ว (3) เร่งรัดกระบวนการจัดทำร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2570 เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยไม่มีความล่าช้าควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง เพื่อรองรับความเสี่ยงที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์สูงและป้องกันความเสี่ยงจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Credit Rating)

2)    การเร่งรัดการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับ (1) การแก้ปัญหาความปลอดภัยและการหลอกลวงนักท่องเที่ยว (2) การแก้ปัญหาอาชญากรรมและเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายข้ามชาติที่แฝงตัวกับภาคการท่องเที่ยว (3) การเตรียมมาตรการเพื่อรองรับปัญหามลพิษทางอากาศ (PM2.5) (4) การทำการตลาดที่สอดคล้องกับภาวะการแข่งขันที่มีความรุนแรงมากขึ้น (5) การเร่งเจรจากับพันธมิตรสายการบิน เพื่อเพิ่มจำนวน/ความถี่เที่ยวบิน และเปิดเส้นทางบินใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว และ (6) การส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง 

3)    การดูแลภาคการเกษตร โดยให้ความสำคัญกับ (1) การฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยให้สามารถฟื้นตัวและมีความพร้อมสำหรับปีการเพาะปลูก 2569/70 (2) การเตรียมความพร้อมรองรับผลผลิตทางการเกษตรจะออกสู่ตลาดในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่ผลผลิตมีแนวโน้มออกสู่ตลาดในปริมาณมาก และ (3) การเร่งรัดโครงการสำคัญ ๆ ภายใต้แผนหลักการบริหารจัดการน้ำเพื่อลดความเสียหายจากภัยพิบัติและเอื้ออำนวยต่อการผลิตภาคเกษตรมากขึ้น

4)    การขับเคลื่อนภาคการส่งออก โดยให้ความสำคัญ (1) การลดต้นทุนการผลิตของภาคการผลิตและการส่งออก เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก (2) การลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ โดย (i) เร่งกระบวนการเจรจาที่จะนำไปสู่ข้อตกลงกับสหรัฐฯ (ii) ส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs (iii) เร่งสร้างความรับรู้ให้กับผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ให้สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบและบริหารจัดการภาระต้นทุนภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง (iv) ยกระดับการตรวจสอบและเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิด (Rule of origin) โดยเร่งรัดปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและจัดทำแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน โดยเฉพาะการปรับปรุงกระบวนการขอรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin: C/O) และกระบวนการตรวจสอบและรับรองสัดส่วนของมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้าสำคัญ ๆ (Regional Value Content: RVC) (3) การขยายตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มสูญเสียส่วนแบ่งตลาด ควบคู่ไปกับการเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ และเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ (4) การส่งเสริมการใช้สินค้าและวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในประเทศเพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้ปัจจัยการผลิตภายในประเทศ (Local content) (5) การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการสำคัญๆ ของประเทศคู่ค้าที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2569 – 2570 และ (6) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนในภาคธุรกิจ

5)    การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับ (1) การเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติและการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2567 - 2569 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว (2) การเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และ (3) การใช้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุนที่เกิดจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในการส่งออกไปสหรัฐฯ 

6)    การแก้ไขปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ได้แก่ (1) การลดแรงกดดันจากสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในภาคครัวเรือน โดย (i) เร่งประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เข้ารับการปรับโครงสร้างหนี้และปิดจบหนี้ตามมาตรการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อ (ii) ปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกให้กับลูกหนี้รายย่อยที่เริ่มประสบปัญหาในการชำระหนี้ เพื่อลดแรงกดดันจากการปรับลดลงของคุณภาพสินเชื่อที่จะส่งผลต่อความระมัดระวังในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน (2) การให้ความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่องและได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้า (3) การเร่งดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนในระยะต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับฐานข้อมูลหนี้สินครัวเรือนให้ครบถ้วนครอบคลุมผู้ให้บริการทางการเงินทุกประเภท การจัดทำฐานข้อมูลภาระหนี้นอกระบบและข้อมูลทางเลือก (Alternative data) และเชื่อมโยงกับข้อมูลหนี้ในระบบ เพื่อให้มีฐานข้อมูลครบถ้วนสำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ และเพื่อให้สามารถวิเคราะห์ศักยภาพและประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้ได้อย่างเหมาะสม

7)     การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง