
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในกิจกรรม Meet the Press ครั้งสุดท้ายในตำแหน่ง ที่ครบวาระวันที่ 30 ก.ย.2568 ระบุว่า หากมองระยะข้างหน้าภาคเอกชนต้องเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และภาครัฐต้องลดอุปสรรคการทำธุรกิจ ไม่สร้างปัญหา และหากมองไปข้างหน้าสิ่งที่ต้องดูแลและเป็นห่วง คือ เสถียรภาพการคลัง ความเสี่ยงจากภาคการคลังที่เป็นประเด็นต้องจับตามอง เพราะภาคการคลังไม่แข็งแกร่งเหมือนอดีต
รวมทั้งหากย้อนไปช่วงโควิด-19 เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ภาคการคลังต้องใช้ทรัพยากรค่อนข้างมากเพื่อพยุงเศรษฐกิจ และใช้กระสุนไปค่อนข้างมาก ดังนั้นควรรัดเข้มขัดเพื่อให้ฐานะการคลังกลับมาในรูปแบบสร้างเสถียรภาพระยะปานกลางและระยะยาวสูงขึ้น และหากดูรายจ่ายรัฐบาลเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา พบว่าเติบโตอยู่ที่ 4% ต่อปี แต่ฝั่งรายได้เติบโตไม่ถึงครึ่งหรือทำได้เพียง 1.7%
ทั้งนี้ หากปล่อยตามเทรนด์ดังกล่าวการขาดดุลจะสูงขึ้นและหนี้เพิ่มขึ้น โดยการปล่อยทุกอย่างไปตามยถากรรมหรือเทรนด์เดิม ปัญหาจะยิ่งลาม และปัญหาความยั่งยืนทางการคลังจะยิ่งเป็นประเด็น ซึ่งประเด็นที่ผู้จัดอันดับเรตติ้งหรือการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยากเห็นคือ หนี้เพิ่มขึ้นได้
“ตอนนี้เรายังไม่เห็นทิศทางนั้นจึงเป็นที่มาของการที่สถาบันจัดอันดับเรตติ้งออกมาเตือนไทย แม้จะไม่ปรับได้ทันที แต่ต้องเห็นภาพชัดเจนว่ามีแผนไปสู่ความยั่งยืนทางการคลัง เพราะเสถียรภาพทางการคลังเป็นพื้นฐานทุกอย่าง”
รวมทั้งหากดูบอนด์ยิลด์ผ่านพันธบัตรระยะยาวของไทย 10 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ 1.5% ซึ่งเป็นระดับไม่สูงหรือน่าตกใจว่าจะเกิดวิกฤติ แต่อย่าชะล่าใจและต้องมีแผนระยะยาวเพื่อรักษาความเชื่อมั่น เพราะนอกจากตัวเลขที่เห็นคือภาระผูกพันที่มีอยู่ด้วย ดังนั้นหากมองไปข้างหน้าเสถียรภาพการคลังเป็นเรื่องต้องใส่ใจเพราะสะท้อนความเปราะบางเศรษฐกิจ
“ปัญหาที่ต้องใส่ใจและน่าห่วง คือ เสถียรภาพทางการคลัง เข้าใจว่าแรงโน้มถ่วงจะนำไปสู่การใช้งบประมาณหรือใช้งบกระตุ้น แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพราะมีไม่มาก หากไม่มีแผนระยะยาวจะเสี่ยงประเทศจะถูกดาวน์เกรดประเทศได้”
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% แข็งค่ากว่าประเทศภูมิภาค ปัจจัยหลักมาจากดอลลาร์อ่อนค่าและปัจจัยอื่น ซึ่งสวนทางปัจจัยพื้นฐานเนื่องจากประเทศที่ทำนโยบาย Tariffs เงินต้องแข็งค่า แต่กลายเป็นดอลลาร์อ่อนค่าทำให้ประเทศอื่นเจอปัญหาเดียวกัน
ทั้งนี้ ไทยเจอปัจจัยเฉพาะมาซ้ำเติม คือ ทองคำทำให้เงินบาทแข็งค่ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน เพราะค่าเงินบาทสัมพันธ์กับราคาทองคำ 0.7% ทำให้ไทยเจอหลายเด้ง
ดังนั้น มาตรการที่ ธปท.ที่ทำได้เป็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งรอบที่ผ่านมาลดลงสู่ 1.50% ในปัจจุบัน แม้ไม่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าชัดเจน อีกด้านคือการเข้าไปดูแลเงินบาทไม่ให้ผันผวนเร็วและแรงเกินไปเพราะไทยเป็นประเทศส่งออก
นอกจากนี้ ธปท.ได้ประชุมหารือผู้ค้าทองคำว่ามีวิธีใดลดแรงกดดันค่าเงินบาท ซึ่งมาตรการนโยบายภาษีเป็นหนึ่งในเรื่องที่พูดคุยกับผู้ค้าทอง แต่มาตรการที่ออกมาต้องดูความเหมาะสมและคงต้องใช้เวลา รวมทั้งมีช่องทางอื่นทำได้ เช่น การเทรดทองคำบนสกุลเงินดอลลาร์เพื่อลดค่าเงินแข็งค่า แต่กระทบหลายคนจึงต้องหามาตรการเหมาะสมสุด
ทั้งนี้ สิ่งที่ห่วงพบธุรกรรม (Error and Omission) หรือความคลาดเคลื่อนสุทธิที่เป็นส่วนต่างเกิดขึ้นทุกปี แต่ปีนี้อาจสูงกว่าทุกปี หากดูตัวเลขโฟลว์ทุกอย่างรวมกันในส่วนดุลชำระเงินปี 2567 อยู่ที่ 1.24 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขจริงออกมาเท่ากับทุนสำรองระหว่างประเทศ แต่ Error and Omission สูงขึ้น 1.52 หมื่นบ้านดอลลาร์ ซึ่งมาจากเหตุใดหรือมาจากธุรกิจสีเทายังบอกไม่ได้และเป็นสิ่งต้องติดตาม
สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินโดยเฉพาะดอกเบี้ยมองว่า การปรับดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 1.5% ถือว่าค่อนข้างต่ำ และเป็นอันดับ 4 ของโลก และหากดูพื้นที่การดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) หาก ธปท.ลดอัตราดอกเบี้ยลงมากเกินไปหรือกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการรุนแรงเกินไปช่วงแรกที่เผชิญวิกฤติอาจขาดเครื่องมือในการรับมือกับวิกฤติในอนาคต
ดังนั้น การรักษาระดับอัตราดอกเบี้ย ผ่านการขึ้นอัตราดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไป และไม่สุดโต่งเกินไป เป็นการสำรองเครื่องมือไว้สำหรับอนาคต ซึ่งเป็นการมองนโยบายในภาพรวมใหญ่และทิศทางที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ห่วงใย ยังคงเป็นเรื่องเสถียรภาพการคลัง โดยมองว่ารัฐบาลต้องอยู่ภายใต้กรอบของเสถียรภาพทางการคลังระยะยาว หากใช้มาตรการกระตุ้นที่ต้องใช้เงินจำนวนมากต้องมีแผนการชัดเจนในการสร้างรายได้เพิ่มเติม เช่น การปรับโครงสร้างภาษี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดและบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่จำเป็นต้องมีแผนการจัดการหนี้เพื่อให้หนี้ลดลงในอนาคต
นอกจากนี้ ประเด็นระยะยาวควบคู่ระยะสั้นแม้จะเป็นรัฐบาลช่วงสั้นอาจต้องการทำแต่สั้น แต่การแสดงให้ประชาชนเห็นว่าใส่ใจระยะยาวด้วยจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น การทำแต่เรื่องระยะสั้นอย่างเดียวมักจะได้ผลลัพธ์จำกัด
สำหรับปัญหาบัญชีม้าที่ทำให้เกิดการถอนเงินของประชาชนและพบว่าถอนเงินสดในบางสาขา ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับบัญชีม้าและการถูกอายัดบัญชี ซึ่งต้องขออภัยที่มาตรการต่างๆ สร้างความเดือดร้อนและความไม่สะดวกให้กับประชาชนผู้สุจริตที่ทำมาค้าขายและต้องใช้เงินหมุนเวียน แต่กลับถูกระงับธุรกรรมหรือถูกอายัดบัญชี
ทั้งนี้ต้องขอให้ประชาชนนึกถึงหัวอกเหยื่อที่ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงจนเงินหายไปทั้งชีวิต และมองว่าปัญหามิจฉาชีพวันนี้เหมือนมะเร็งที่หากปล่อยไว้จะแพร่กระจายและทำลายระบบ การจัดการปัญหานี้จึงจำเป็นต้องทำอย่างเด็ดขาด แม้จะส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์บ้าง หากไม่มีการดำเนินการใดๆ ประเทศไทยอาจกลายเป็นสถานที่ที่สะดวกสำหรับมิจฉาชีพได้