
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) จัดพิธีเปิดการกลับเข้าซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 หลังจากประสบความสำเร็จจากการฟื้นฟูกิจการ ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ครั้งสำคัญ ในฐานะสายการบินที่คนไทยภาคภูมิใจ พร้อมต่อยอดสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับการดำเนินงาน คุณภาพการให้บริการ ควบคู่กับการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลสูงสุด และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เพื่อก้าวสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่มีคุณภาพของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ราคาเปิดเทรดวันแรกอยู่ที่ 10.50 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 134.4 % จากราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ 4.48 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเกือบ 3 แสนล้านบาท
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ได้ออกจากแผนฟื้นฟูแล้ว นับตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. 2568 หลังเข้าแผนฟื้นฟูตั้งแต่ มิ.ย. 2564 และจะกลับมาซื้อ-ขาย ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อีกครั้ง ในวันนี้ (4 ส.ค.2568) ซึ่งเป็นหุ้นเดิม 2.2 พันล้านหุ้น ส่วนหุ้นใหม่ติด Lock up period หลังจากหยุดการซื้อ-ขาย ตั้งแต่ 16 พ.ค. 2563 ราคาปิดสุดท้ายที่ 3.32 บาท
ปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนเชิงบวกต่อหุ้น THAI เหตุผลสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การบินไทยจะเปลี่ยนสถานะจากรัฐวิสาหกิจไปสู่การเป็นองค์กรเชิงพาณิชย์มากขึ้น คาดทำให้ “กำไร” เติบโตขึ้น และการดำเนินงานรวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะมุ่งเน้นการแสวงหาผลกำไรมากขึ้น ทำให้ผลประกอบการดีขึ้น
รวมถึงภาวะขาดแคลนเครื่องบิน เพราะตั้งแต่หลังวิกฤติโควิด-19 การลงทุนในธุรกิจการบินและเครื่องบินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เกิดภาวะเครื่องบินไม่เพียงพอ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การแข่งขันด้านราคามีน้อยลง ทำให้การบินไทยมีความสามารถในการกำหนดราคาตั๋วได้สูงขึ้น และราคาน้ำมันเครื่องบินอยู่ในทิศทางขาลง ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในการดำเนินงานของสายการบิน การลดลงของราคาน้ำมันจึงเป็นผลดีต่อการบินไทย
ในส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป ปัจจุบัน THAI อยู่ที่ราว 93,000-94,000 ล้านบาท หรือราว 2,900 ล้านดอลลาร์ มองการที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นไปจนทำให้มาร์เก็ตแคปขึ้นไปแตะระดับแสนล้านบาทนั้นไม่ยากและมีโอกาสที่จะเห็นได้ในปีหน้า แต่ทว่าการจะเข้าสู่ SET50 หรือ SET100 ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจยังไม่ทัน