
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การผลิตรถยนต์ทั้งหมดในเดือน ม.ค. 2568 ทำได้ 107,103 คัน ลดลงจากเดือน ม.ค. 2567 ที่ 24.63% โดยการผลิตเพื่อส่งออกเดือน ม.ค. 2568 ผลิตได้ 75,044 คัน เท่ากับ 70.07% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 21.10% ในขณะที่ การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือน ม.ค. 2568 ผลิตได้ 32,059 คัน เท่ากับ 29.93% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือน ม.ค. 2567 ที่ 31.78%
ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเดือนม.ค. 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 48,092 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 12.26% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ จากหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศปี 2567 ขยายตัวในอัตราต่ำที่ 2.5% ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลงโดยเฉพาะผลผลิตยานยนต์ที่มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากลดลง แรงงานจำนวนมากมีรายได้ลดลง ทำให้ใช้จ่ายลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ
ขณะที่สถานการณ์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) เดือนม.ค. 2568 มียอดจดทะเบียนใหม่จำนวน 14,711 คัน ลดลงจากเดือนม.ค.ปีที่แล้ว 7.73% ส่วนยอดจดทะเบียนสะสม ณ วันที่ 31 ม.ค. 2568 รวมทั้งสิ้น 242,076 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 63.85%
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนม.ค. 2568 ส่งออกได้ 62,321 คัน ลดลงจากเดือนม.ค. 2567 ที่ 28.13% ต่ำสุดในรอบ 33 เดือน จากความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จึงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีการตอบโต้มากน้อยเพียงใด
รวมทั้งการส่งออกของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จีนราคาถูกมาแข่งขันมากขึ้นในประเทศคู่ค้า และรถยนต์ส่งออกบางรุ่นกำลังจะเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ และอีกส่วนเป็นผลมาจากจากเดือน ธ.ค. 2567 มีวันหยุดมาก บางบริษัทเปิดทำการช้าในเดือนม.ค. 2568 จึงผลิตได้น้อย ทำให้เดือนม.ค. มีรถส่งออกได้น้อยโดยเฉพาะตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกากลาง และอเมริกาใต้
สำหรับมูลค่ารวมการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 68,069.18 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ที่ 20.63%
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์ที่ลดลงส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศปี 2567 ขยายตัวในอัตราต่ำที่ 2.5% ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลงโดยเฉพาะผลผลิตยานยนต์ที่มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากลดลง แรงงานจำนวนมากมีรายได้ลดลง ทำให้ใช้จ่ายลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ
ทั้งนี้ ส.อ.ท. และกลุ่มยานยนต์อยากให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือค้ำประกันการปล่อยสินเชื่อซื้อรถกระบะให้เร็วขึ้นจาก 4 เดือนเป็น 2 เดือน เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมผลิตมากขึ้น เกิดการจ้างงานมากขึ้น เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายให้มากขึ้น เพื่อทำให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงขึ้น ซึ่งจะสร้างบรรยากาศการลงทุนให้เร็วขึ้นตามความประสงค์ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า สำหรับการประมาณการการผลิตรถยนต์ปี 2568 อยู่ที่ 1,500,000 คัน มากกว่าปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 1,468,997 คัน หรือเพิ่มขึ้น 2.11% แบ่งเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกประมาณ 1,000,000 คัน คิดเป็นสัดส่วน 66.66% ของยอดการผลิตทั้งหมด และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศประมาณ 500,000 คัน เท่ากับ 33.34% ของยอดการผลิตทั้งหมด
โดยปัจจัยที่จะมีผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ คือ 1. การขึ้นภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐไม่สูงมากนักอาจจะไม่กระทบมูลค่าการค้าโลกมากดังที่กังวลกันซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด 2. อัตราดอกเบี้ยอาจลดลงและราคาน้ำมันอาจลดลงทำให้อำนาจซื้อของประเทศคู่ค้าสูงขึ้นส่งผลให้การส่งออกดีขึ้น ซึ่งต้องติดตามว่าลดลงมากน้อยแค่ไหน 3. การติดตามสงครามในภูมิภาคต่างๆ ว่ายุติได้หรือไม่ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจใช้เงินของประชาชนในประเทศต่าง ๆ
ส่วนปัจจัยลบ แบ่งเป็น 1.ความชัดเจนในมาตรการด้านการค้าและอื่น ๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะขึ้นภาษีอากรนำเข้าอีกมากน้อยแค่ไหน 2. คู่แข่งในประเทศคู่ค้ามีมากขึ้น 3. ประเทศคู่ค้ามีการผลิตรถกระบะ ซึ่งอาจลดคำสั่งซื้อและอาจส่งออกแทนประเทศไทยจากการผลิตรถกระบะลดลง 4. ความขัดแย้งและการสู้รบในภูมิภาคต่าง ๆ อาจขยายเพิ่มขึ้นทั้งภูมิภาคเดิมและภูมิภาคใหม่ 5. มาตรการเข้มงวดการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ของประเทศคู่ค้าที่ทำให้รถยนต์บางรุ่นนำเข้าไม่ได้