นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี กล่าวในงานสัมมนา “Chula Thailand Presidents Summit 2025” จัดโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อ Future Thailand :Next Growth ระบุว่า ภาคเศรษฐกิจของไทย มองว่ายังมีอนาคต และว่าต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งการเมือง ดินฟ้าอากาศปั่นป่วน การใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทน อย่างรวดเร็ว แม้จะมีวิกฤต แต่วิกฤตก็ยังเต็มไปด้วยโอกาส เนื่องจากประเทศไทยมีที่ตั้งที่พอเหมาะ เป็นที่นิยมของการท่องเที่ยว การผลิตอาหาร และมีคมนาคมที่สะดวก
ส่วนของการท่องเที่ยวเห็นด้วยกับรัฐบาลที่เปิดฟรีวีซ่าเพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เสริมสร้างรายได้เข้าประเทศได้ง่ายที่สุด แต่รัฐบาลต้องมีสนับสนุนงบประมาณ เพื่อสร้างความมั่นใจ สร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้น กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ว่าจะให้เกิดการท่องเที่ยวระดับไหน ไทยจะได้อะไร การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของเศรษฐกิจไทย รัฐบาลควรมีงบประมาณและเป้าหมายที่ชัดเจนในการส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะการเจาะจงกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายที่ต้องการเดินทางมายังประเทศไทย ประเทศไทยควรพัฒนา แผนแม่บทการท่องเที่ยว ที่มีความชัดเจน ครอบคลุมตั้งแต่การยกระดับความปลอดภัย โครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างเพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ๆ
ปัจจุบันชีวิตประจำวันที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยเอไอ และเทคโนโลยี ต้องพึ่งพาไฟฟ้าเป็นพลังงานพื้นฐาน ดังนั้น ธุรกิจพลังงานสะอาดจึงมีความทันสมัยและมีอนาคต อย่างไรก็ตาม พลังงานไฟฟ้าที่มาจาก ลม น้ำ แสงอาทิตย์ นั้นไม่มีความเพียงพอ ปัจจุบันโลกกำลังให้ความสนใจอย่างเด่นชัดคือไฟฟ้านิวเคลียร์ เป็นธุรกิจในอนาคตที่ยิ่งใหญ่ ทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย ขณะนี้ได้กำหนดกฎหมายขึ้นมารองรับแล้ว แต่ไทยยังไม่มี ดังนั้นถ้าพูดถึงการใช้เอไอ และเทคโนโลยี แล้วไทยต้องมีพลังงานสะอาดใช้อย่างเพียงพอด้วย
ด้านการเกษตร จะเห็นได้ว่าไทยไม่เคยประสบภัยธรรมชาติ ที่เลวร้าย ทั้งแผ่นดินไหว ไต้ฝุ่น เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ ไต้หวันจีน นอกจากภัยแล้งและน้ำท่วม ที่มาทุกปี ซึ่งอย่างแนะนำว่ารัฐบาลควรนำงบประมาณที่ใช้สร้างถนนมาจัดรูปที่ดิน ปฏิรูปที่ดิน ทำระบบชลประทาน พร้อมกับถนน หากมีระบบชลประทานที่ดี ภัยแล้งหรือน้ำท่วมก็จะไม่กระทบ พืชไร่จะสามารถเพาะปลูกได้ ปีละ 3 ครั้ง หรือ 3 ครอป ผลผลิตจะเพิ่มขึ้น 5 เท่า พืชสวนสามารถปลูกได้ที่สูง ที่ต่ำทำเป็นบึง ขายน้ำปั่นไฟ รอบบึงสามารถทำเป็นที่อยู่อาศัย ทำการท่องเที่ยว
ในขณะที่ รัฐบาลต้องพัฒนาพันธุ์พืช สัตว์ ให้ทนแดด ทนความร้อน ใช้ปุ๋ยที่มีคุณภาพปลอดภัย โดยกระบวนการผลิตในภาคการเกษตรต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยที่ทุกขั้นตอน เป็นห่วงโซ่ที่ยาวที่สุด เช่นเดียวกับที่ซีพี ทำไร่อยู่กัมพูชา 4 หมื่นไร่ จีน 1 แสนไร่ รัสเซีย 7 แสนไร่ ต้องใช้โดรนในการให้ปุ๋ย เพื่อตรวจเช็ค ให้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งประหยัดค่าใช้จ่าย สะดวก กว่าเมื่อเทียบกับการใช้เครื่องบินเรียกได้ว่า ซีพีทำตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ ค้าปลีกจนถึงโต๊ะอาหาร แต่ไม่ใช่การผูกขาด แต่เป็นแนวดิ่ง เพื่อให้ทุกขึ้นตอนสอดคล้องกัน เพราะถ้าผลิตมากคนไม่ซื้อก็เสียหาย แต่ผลิตไม่พอก็เสียหาย จึงจำเป็นต้องมีดูแลทั้งต้นน้ำและปลายน้ำให้มีความสอดคล้องกัน สินค้าเกษตรถือเป็นน้ำมันบนดิน เป็นทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่าของประเทศไทย ที่สร้างรายได้ให้กับประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง 90% อย่างไรก็ตามภาคการเกษตรที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี จำเป็นที่สถานศึกษาต้องผลิตคนให้มีความรู้ความสามารถ เพื่อพัฒนาภาคการเกษตรให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจบแล้วทำงานได้เลย อย่างมีคุณภาพ
ในฐานะนักธุรกิจ และประชาชนคือลูกค้า ธุรกิจเราจะอยู่รอดได้ต้องพึ่งพาประชาชนและอยากให้ประชาชนมีกำลังซื้อเยอะๆ แต่ยอมรับว่าในโลกที่เทคโนโลยีเข้าถึงได้ง่าย การทำกำไรจากการขายสินค้าทำได้ยากขึ้น เพราะผู้บริโภคสามารถสืบค้นข้อมูลราคาได้ทางโลกอินเทอร์เน็ต ดังนั้น การทำกำไรจึงใช้วิธีการลดต้นทุนให้เหลือน้อยที่สุด ใช้เครื่องจักร สร้างพนักงานของบริษัทให้มีประสิทธิภาพขึ้น ไม่กังวลเรื่องค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทยที่คาดว่าขึ้นถึง 600 บาทต่อวันอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ด้านการศึกษา ประเทศไทยควรตั้งเป้าหมายให้เป็น ศูนย์กลางการศึกษาโลก ดึงดูดนักศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาเรียนในไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ของประเทศในระดับเดียวกับการท่องเที่ยว พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายบุคลากรคุณภาพที่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไกล นอกจากนี้ ยังได้เสนอแนวคิดให้ปฏิรูปการศึกษาในประเทศ โดยให้ความสำคัญกับแนวทาง “เรียนไปทำงานไป” ซึ่งจะช่วยให้เยาวชนไทยสามารถจบการศึกษาพร้อมกับมีทักษะในการทำงานจริง รวมถึงตั้งคำถามว่า “ทำไมเด็กไทยต้องรอถึงอายุ 22 ปีจึงจะจบปริญญาตรี ในขณะที่ระบบการศึกษาสามารถออกแบบให้จบมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 18 ปีได้