นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์ “คอตโต้” (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยงบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของ COTTO ไตรมาสที่ 4 ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 3,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 7 % หากเทียบกับ ไตรมาส3
ขาดทุน 741 ล้านบาท เนื่องมาจากการตั้งสำรอง การด้อยค่าของสินทรัพย์ การตั้งค่าเผื่อมูลค่าสินค้าลดลงของสินค้าคงเหลือของโรงงานผลิตแผ่นหินประดิษฐ์ขนาดใหญ่ 847 ล้านบาท และ ค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการออกจากงานด้วยความเห็นชอบร่วมกัน 20 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการสำคัญ (Key Items) ดังกล่าว จะขาดทุนอยู่ที่ 47 ล้านบาท ลดลง 178% จากปี2564 โดยสาเหตุหลัก คือ ต้นทุนวัตถุดิบและพลังงาน โดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 13,157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากปี 2564 เป็นผลจากการปรับราคาขายขึ้น และ ยอดขายภายในประเทศที่เติบโตขึ้น โดยภาพรวมบริษัทยังขาดทุนเท่ากับ 228 ล้านบาท ลดลง 139% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่หากไม่รวมรายการสำคัญ (Key Items) จะได้กำไรเท่ากับ 469 ล้านบาท ลดลง 13% เนื่องจากราคาพลังงานพุ่งสูง คาดว่าจะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และ สถานการณ์ตลาดกระเบื้องเซรามิกในปีนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
สำหรับความต้องการใช้ สินค้ากระเบื้องเซรามิกโดยรวมในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยมีแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามในด้านต้นทุนการผลิตยังมีปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะราคาพลังงาน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และหนี้ครัวเรือนที่มีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
โดยในปีนี้ บริษัทฯ เตรียมรับมือ กับต้นทุนวัตถุดิบ และ ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ด้วยการลดต้นทุนการผลิต และเร่งโครงการ Energy Saving ให้เกิดผลเร็วขึ้น ในส่วนของการสร้างรายได้และกำไร คาดว่าจะได้เพิ่มจากสินค้า และ บริการใหม่ ๆ ทั้ง LT by COTTO, Pool & Decorative Tiles, C’Tis บริการติดตั้งวัสดุกรุผิวครบวงจร, ผลิตภัณฑ์ติดตั้งและซ่อมแซมพื้นผิว, SUSUNN Smart Solution ธุรกิจด้านการจัดการพลังงานและด้านวิศวกรรม
รวมทั้งเจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ ที่อายุยังน้อย โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของบ้าน สถาปนิก และดีไซน์เนอร์ ให้มากขึ้น เนื่องจาก เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ จึงมีแนวทางพัฒนาสินค้าให้หลากหลาย มีภาพลักษณ์ที่ดูทันสมัย เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ได้มากขึ้น ตอกย้ำการเป็นผู้นำเทรนด์ และ สามารถตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มได้