
4 พฤศจิกายน 2568 รายงานพิเศษจากการเยี่ยมชมท่าเรือฉินโจวก่าง (Qinzhou Port Area) หนึ่งในสามท่าเรือย่อยของท่าเรืออ่าวเป่ยปู้ (Beibu Gulf Port) มณฑลกวางสีจ้วง ประเทศจีน ท่าเรือแห่งนี้ไม่ใช่เพียงจุดขนถ่ายสินค้าธรรมดา แต่เป็น หัวใจ ในยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ของจีนตะวันตก และเป็นเส้นทางเชื่อมโยงสำคัญสู่ภูมิภาคอาเซียนรวมถึงประเทศไทย
ท่าเรืออ่าวเป่ยปู้ซึ่งเป็นกลุ่มท่าเรือที่สำคัญในพื้นที่ "อ่าวตังเกี๋ย" ประกอบด้วย 3 ท่าเรือย่อยหลัก ได้แก่ ท่าเรือฝางเฉิงก่าง ท่าเรือเป่ยไห่ และท่าเรือฉินโจว ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์และน้ำมัน และถูกกำหนดให้เป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางโลจิสติกส์สำคัญของจีน
"First Class 4 ด้าน" คำสั่งตรงจาก สี จิ้นผิง
จุดเปลี่ยนสำคัญของอ่าวเป่ยปู้อยู่ที่การเข้าตรวจเยี่ยมของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในปี 2017 ซึ่งได้เน้นย้ำให้พัฒนาท่าเรือแห่งนี้ให้โดดเด่นในระดับ "First Class" 4 ด้าน ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน, เทคโนโลยี, การบริหารจัดการ และการบริการ คำกล่าวนี้ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้เกิด “ท่าเทียบเรือตู้คอนเทนเนอร์อัตโนมัติฉินโจว” ด้วยงบประมาณลงทุนมหาศาลกว่า 7.1 พันล้านหยวน
ท่าเรืออัจฉริยะแห่งนี้ คือ ท่าเทียบเรือตู้คอนเทนเนอร์อัตโนมัติเต็มรูปแบบแห่งแรกของจีนที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีเครนยกสีฟ้าและรถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ไร้คนขับเกือบ 100% ระบบ AI ถูกติดตั้งเพื่อตรวจจับสิ่งแปลกปลอมและคัดแยกสินค้าได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ท่าเรือแห่งนี้ลดการใช้คนงานเหลือเพียง 10% และยังเป็นแห่งแรกของโลกที่ใช้กระบวนการปฏิบัติงานแบบ “U-shaped Process” ที่ช่วยลดขั้นตอนและเพิ่มความคล่องตัว
Hub เชื่อม “Sea-Rail” ยกระดับการค้าโลก
ความสำเร็จของท่าเรือแห่งนี้คือการเป็นศูนย์กลางการขนส่งแบบ Multi-model Transportation โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรองรับการขนส่งแบบ “Sea-Rail Joint Transport” หรือการขนส่งร่วมระหว่างทางทะเลและทางรถไฟได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตู้คอนเทนเนอร์จะถูกลำเลียงจากเรือสู่รางรถไฟโดยตรงอย่างรวดเร็ว ผ่านทาง "ระเบียงการขนส่งทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศใหม่" ของจีนตะวันตก
ด้วยขีดความสามารถในการรองรับตู้คอนเทนเนอร์สูงสุดถึง 2.6 ล้านตู้มาตรฐานต่อปี ท่าเรือฉินโจวได้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์หลักในการเชื่อมโยงการค้าทางบกและทางทะเลระหว่างจีนกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนและนานาชาติ โดยมีเส้นทางเดินเรือรวมทั้งสิ้น 91 เส้นทาง หนึ่งในนั้นมีเส้นทางเชื่อมต่อกับท่าเรือแหลมฉบังของประเทศไทยด้วย
สถิติยืนยันความเติบโต
การพัฒนาฯส่งผลให้ในปี 2024 ท่าเรืออ่าวเป่ยปู้มีปริมาณการขนส่งสินค้าทั้งสิ้น 449 ล้านตัน และปริมาณตู้คอนเทนเนอร์รวมกว่า 9.015 ล้านตู้ ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 12.4% และติดอันดับ "ท็อป 10" ของท่าเรือตามแนวชายฝั่งทั่วประเทศจีน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจีนในการสร้างมิติใหม่ของโลจิสติกส์ยุคไฮเทคเพื่อเป็นผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานโลก
โอกาสทางธุรกิจของไทย ใช้ “เป่ยปู้” เป็นสะพานสู่จีนตะวันตก
การเชื่อมต่อระหว่างท่าเรืออัจฉริยะอ่าวเป่ยปู้และท่าเรือแหลมฉบัง ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก "ระเบียงการขนส่งทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศใหม่ (ILSTC)" ของประเทศจีนเพื่อเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ทางภาคตะวันตกและตอนในของจีน เช่น ยูนนาน, กุ้ยโจว, เสฉวน, ฉงชิ่ง ได้รวดเร็วและประหยัดยิ่งขึ้น ถือเป็นโอกาสทองของสินค้าเกษตรและผลไม้ไทยที่จะลดขั้นตอนและเวลาในการขนส่ง มีข้อมูลระบุว่า ใช้เวลาเพียง 4 ถึง 7 วันเท่านั้น
จากการเดินทางร่วมกับคณะของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สู่ท่าเรืออ่าวเป่ยปู้นั้น ทีมข่าว NATION TV เล็งเห็นอย่างชัดเจนว่า ท่าเรือแห่งนี้คือ “ทางลัดเชิงยุทธศาสตร์” ที่เปิดโอกาสให้สินค้าไทยได้เดินทางเข้าสู่ตลาดจีนตะวันตกได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด นี่อาจจะเป็นสัญญาณเร่งด่วน
ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่รัฐบาลไทยและผู้ประกอบการต้องเร่งปรับโฉมท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นท่าเรืออัจฉริยะที่ทัดเทียมกับนานาชาติ ควบคู่ไปกับการพัฒนาและส่งเสริมบุคลากรด้านโลจิสติกส์ให้มีความพร้อมทางเทคโนโลยี เพื่อรับมือและใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์ระดับโลกนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ