นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สศค.ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 66 โดยขยายตัวเพียง 2.7% จากเดิมเติบโต 3.5%ต่อปี โดยเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มองว่าจีพีดีไทยจะโต 2.8%
ทั้งนี้เนื่องจากการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทยติดลบ 1.8% ขณะที่การบริโภคภาครัฐหดตัวที่ 3.4% การลงทุนภาครัฐทรงตัวในระดับเดียวกับปีก่อนหน้า หลังได้รับผลกระทบจากกระบวนการจัดทำงบประมาณ รายจ่ายประจำปี 67 ที่ล่าช้า
นอกจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยน้อยกว่าคาด โดยตลอดปี 66 มองว่าชาวต่างชาติจะเข้าไทยเพียง 27.7 ล้านคน รายได้ 1.18 ล้านล้าน ลดลงจากเดิมที่คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 29.5 ล้านคน รายได้อยู่ที่ 1.25 ล้านล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจจีนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อตัวเลขนักท่องเที่ยวของจีน ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายของไทยให้เดินทางลดลงด้วย
ส่วนเงินเฟ้อจะขยายตัวในกรอบ 1.5% เนื่องจากแรงกดดันจากราคาสินค้าในหมวดพลังงานลดลง ประกอบกับมีมาตรการบรรเทาค่าครองชีพประชาชนของภาครัฐ ทำให้คาดว่าเงินเฟ้อจะกลับสู่กรอบเป้าหมายได้ที่ 1-3%
ด้านเศรษฐกิจไทยปี 67 คาดว่าจะเติบโต 3.2% ต่อปี ช่วงคาดการณ์ 2.2-4.2% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชน ภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยว โดยจะมีชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศ 34.5 ล้านคน ขยายตัวที่ 24.6% ต่อปี ส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการ เกิดการจ้างงานและเพิ่มรายได้ประชาชน
โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.1% ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามอุปสงค์ในตลาดโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยจะขยายตัว 4.4% ต่อปี ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ ทำให้การลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว 3.5% ต่อปี
อย่างไรก็ดี การประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 67 ในครั้งนี้ ยังไม่ได้รวมผลกระทบของมาตรการโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่าง ๆ ความผันผวนของตลาดการเงินโลก สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่อาจทำให้เกิดภัยแล้งในปี 67