svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Business thai

เอกชน-นักเศรษฐศาสตร์หวั่นการเมืองลากยาวฉุดเศรษฐกิจดิ่ง

เอกชน-นักเศรษฐศาสตร์กังวลความไม่แน่นอนการเมือง-จัดตั้งรัฐบาลล่าช้ากระทบการลงทุน-เบิกจ่ายภาครัฐ  "อิสระ"มองไม่อยากให้เกิดความรุนแรงกลายเป็นสงครามกลางเมืองย้ำทุกฝ่ายต้องอยู่ภายใต้กฏหมาย

นายอิสระ บุญยัง ประธานกรรมการ กานดา พร็อพเพอร์ตี้กรุ๊ป และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร  เปิดเผยถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลไม่ได้รับการโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีว่า  ภาคเอกชนต้องการเห็นการเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลเก่าสู่รัฐบาลใหม่ไม่เกิดความรุนแรงขึ้นมาจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง ดังนั้นต้องการให้ทั้ง 2 ฝ่ายเคารพการแสดงความคิดเห็นซึ่งกันและกัน โดยอยู่ภายใต้กฎหมายที่ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นและชุมนุมได้

สำหรับความไม่แน่นอนทางการเมืองและการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าจะส่งผลต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 และการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐที่จะมีความล่าช้า ส่งผลให้แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากภาครัฐอาจถดถอยลง ขณะที่ภาคเอกชนต้องเผชิญปัญหาต้นทุนที่เพิ่มสวนทางกับกำลังซื้อของคนที่ลดลงจึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับเศรษฐกิจไทย

นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่ยืดเยื้อจะส่งผลกระทบในระยะสั้น โดยเชื่อว่าสถานการณ์การเมืองจะไม่เกิดความรุนแรงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

โดยในส่วนของธุรกิจได้ปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์  ซึ่งช่วงครึ่งปีหลังนั้น ผู้ประกอบการจะมีการจัดแคมเปญและเปิดตัวโครงการใหม่รองรับดีมานด์ที่กลับเข้ามาทั้งคนไทยและต่างชาติไว้แล้ว

เอกชน-นักเศรษฐศาสตร์หวั่นการเมืองลากยาวฉุดเศรษฐกิจดิ่ง

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอ การค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากผลการลงคะแนนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี หอการค้าไทย เชื่อว่ากระบวนการตามระบอบประชาธิป ไตยในทางรัฐสภาได้พยายามเดินหน้าอย่างเต็มที่ ซึ่งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เป็น candidate ยังไม่สามารถผ่านการลงคะแนนได้ในครั้งแรก ซึ่งก็ยังมี Timeline ครั้งที่ 2 - 3 ตามที่มีกำหนดออกมาเบื้องต้นในวันที่ 19 และ 20 ก.ค.

โดยหลังจากนี้ ทั้ง 8 พรรคร่วมฯ คงจะกลับไปทำความเข้าใจและเจรจาพูดคุยเพื่อหาแนวทางร่วมกันใหม่อีกครั้ง และคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปอย่างใกล้ชิด 

ด้านการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้น ถือเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนภายใต้กฎหมาย  ที่สามารถทำได้ และวันนี้เราเห็นแล้วว่าทุกฝ่ายต่างยอมรับและเคารพในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเชื่อว่าในระยะสั้นการชุมนุมจะอยู่บนพื้นฐานของความเรียบร้อย ไม่กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายมองว่าสามารถเติบโตได้ทั้งปี 3 - 3.5 %

อย่างไรก็ตาม วันนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินสถานการณ์ แต่หอการค้าฯ ยังคงเชื่อว่าหลังจากนี้จะมีกระบวนการหารือและทำความเข้าใจร่วมกัน ในที่สุดทุกฝ่ายจะเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศ และสนับสนุนให้เกิดรัฐบาลใหม่โดยเร็วที่สุด เพราะหากได้รัฐบาลล่าช้าออกไป การจัดตั้ง ครม. และการประกาศนโยบายต่อรัฐสภาอาจจะเกิดขึ้นช่วง ส.ค.- ก.ย. และกว่าจะจัดทำงบประมาณแล้วเสร็จอาจได้เริ่มใช้งบประมาณประเทศในไตรมาส 2 ปี 67

ซึ่งจะล่าช้าและกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างประเทศ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเอกชนจึงอยากให้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่รวดเร็วที่สุด เพื่อเศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  การเมืองยืดเยื้อ มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย  ซึ่งหากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าจะผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุน ทั้งในตลาดหุ้น และการลงทุนของเอกชนได้

โดยปัจจุบันแรงขณะนี้แรงขับเคลื่อนเดียวของเศรษฐกิจไทย คือการท่องเที่ยว แต่หากสถานการณ์ลากยาว แถมลามให้เกิดการประท้วง จนนำไปสู่ความไม่สงบในประเทศ เหล่านี้จะมีผลกระทบต่อภาพรวมการท่องเที่ยวทันทีถือเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น

เอกชน-นักเศรษฐศาสตร์หวั่นการเมืองลากยาวฉุดเศรษฐกิจดิ่ง

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนา คารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันต้องจับตาใกล้ชิดวันต่อวัน และอาจเร็วเกินไปที่จะประเมินว่าข้อสรุปจะไปทิศทางไหน รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้เห็นว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าการเมืองไทยอาจถึงทางตัน ที่ไม่สามารถเลือกนายกฯ ได้ จนไม่สามารถมีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศลากยาวออกไป เชื่อว่าผลกระทบจะมี 3 ด้าน

1.กระทบการลงทุนภาครัฐที่อาจหดตัวกว่าที่คิด จากเดิมที่คาดรัฐบาลตั้งใน ส.ค.นี้ หากเลื่อนไปไม่ทันไตรมาส 3 หรือหากลากยาวถึงปลายปีหรือปีหน้า จะกระทบการใช้จ่ายภาครัฐและงบประมาณภาครัฐที่จะไม่มีแรงขับเคลื่อนส่วนนี้เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจไทย ซึ่งอาจไม่เห็นการลงทุนใหม่จากภาครัฐ รวมถึงกระทบการก่อสร้างของภาคเอกชน 

2.กระทบความเชื่อมั่นตลาดเงินและภาคการลงทุน เพราะขณะนี้เป็นห่วงที่โลกมีการย้ายฐานการผลิต โดยเฉพาะจีนที่เข้ามาอาเซียนมาขึ้น หากประเทศไทย ไม่มีความแน่นอนทางการเมือง อย่างมีเสถียรภาพ อาจกระทบทำให้ทุนใหม่ๆ ไม่เลือกเข้ามาลงทุนไทย และย้ายฐานการผลิตไปอินโดฯ เวียดนามได้

ดังนั้นหากสถานการณ์การเมืองล่าช้า เราอาจสูญเสียโอกาสในการเปิดรับการลงทุนใหม่ๆได้ในช่วง 1-2เดือนข้างหน้านี้ รวมถึงอาจไม่เห็นการลงทุนใหญ่ หรือลงทุนเครื่องใหญ่ๆในระยะอันใกล้นี้

3. ภาคครัวเรือน  แม้ไม่มีประท้วงทางการเมืองกำลังซื้อของประชาชนระดับล่างยังชะลอตัว ฟื้นตัวเฉพาะระดับกลาง ระดับบน ดังนั้นหากไม่เข้ามาพยุงเศรษฐกิจจะทำให้ภาคครัวเรือนได้รับผลกระทบมากขึ้น โดยเฉพาะภาคเกษตรและเอสเอ็มอี  ซึ่งหากไม่มีมาตรการรัฐบาลเข้ามาเยียวยาจะทำให้เปราะบางมากขึ้น

“เราห่วงว่าหากการเมืองยืดเยื้อจนนำไปสู่ การประท้วงรุนแรงที่กระทบต่อช่วงไฮซีซั่นของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4แน่นอน จากเดิมที่เรามองจีดีพีไตรมาส 4 โตเฉียด 5% แต่หากผลกระทบจำกัดเฉพาะไตรมาส 3 แล้วจบ ดังนั้นก็หวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย”