หากย้อนไปช่วงหลังการเกิดโรคระบาดโควิด-19 จะสังเกตได้ว่าราคาน้ำมันค่อนข้างมีความผันผวน จากหลายๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ อาทิ ความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย เงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแรง รวมถึงนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก และการประกาศลดกำลังการผลิตลงของ OPEC+
อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ต้นปี 2023 หลังจากที่จีนได้ประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ ทำให้คลื่นมหาชนในจีนเกิดกระแสการเดินทางหลังจากที่ถูกล็อคดาวน์มายาวนานกว่า 3 ปี ส่งผลให้ปริมาณความต้องการ (อุปสงค์) การใช้น้ำมันพุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
โดย Bloomberg ได้สำรวจปริมาณการใช้เชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานพบว่า ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการเดินทางในภูมิภาคเอเซีย (มีจีนเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุด) ได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงต้นปี 2023 ซึ่งเป็นจังหวะที่จีนผ่อนคลายล๊อคดาวน์นั่นเอง และคาดว่าจะเติบโตได้อีก เช่นเดียวกับประเทศในฝั่งตะวันตกที่เริ่มเปิดประเทศนำมาก่อนแล้วตั้งแต่ช่วงก่อนปี 2022
แนวโน้มดังกล่าว สอดคล้องกับมุมมองของสถาบันข้อมูลพลังงานของสหรัฐฯ หรือ EIA ที่ประเมินว่าความต้องการใช้น้ำมันในปี 2023 นี้จะมียอดอุปสงค์ที่มาจากประเทศจีนเติบโตขึ้นแรง ซึ่งถือเป็นการผลักดันให้อุปสงค์การใช้น้ำมันทั่วโลกมีมากกว่าอุปทาน อีกทั้ง EIA ยังประเมินว่าราคาน้ำมันน่าจะยังมีแนวโน้มที่อยู่ในระดับสูงตลอดทั้งปี 2023 จนถึงปี 2024 ถึงแม้ว่า หลายฝ่ายจะประเมินว่าเศรษฐกิจโลกส่อแววที่จะชะลอตัวลงก็ตาม
นอกเหนือจากประเด็นราคาน้ำมันแล้ว มีอีกเรื่องที่นักลงทุนควรจับตามองนั่นก็คือ การลดการพึ่งพาการใช้ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ชำระราคาน้ำมันและการซื้อขายน้ำมันกับรัสเซีย ซึ่งอยู่ระหว่างการแทรกแซงทางการค้า ทั้ง 2 ปัจจัยนี้ย่อมสร้างความผันผวนให้กับราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
ที่มา : บทความโดย นที ดำรงกิจการ Executive Director, Head of Financial Advisory, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย