svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Business

ชวนทำความเข้าใจ ปริมาณไฟฟ้าสำรองของไทย ไม่ได้ทำให้ค่าไฟแพงอย่างที่คิด

ปริมาณไฟฟ้าสำรองของไทย ที่มีการยกข้อมูลว่าสูงเกินไปจนทำให้คนไทยต้องแบกรับภาระค่าไฟเพิ่มขึ้น กระทรวงพลังงานได้ชี้แจงแล้วว่า ปริมาณสำรองไฟของไทยนั้นอยู่ในอัตราที่เหมาะสม และการสำรองไฟไม่ได้เป็นตัวแปรให้ค่าไฟแพงอย่างที่เข้าใจ

ยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับ “ค่าไฟฟ้า” ที่มีการพยายามหาสาเหตุ ที่มาที่ไปของตัวเลขในบิลค่าไฟที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยอีกประเด็นหนึ่งที่พรรคการเมืองต่างพากันออกมาตั้งข้อสังเกต คือประเทศไทยมีปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง หรือ Reserve Margin สูงเกินไป จนทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ แต่ความจริงแล้วเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่?

สิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ ไฟฟ้า เป็นสิ่งที่เมื่อผลิตแล้วไม่สามารถเก็บไว้ได้ ผลิตแล้วต้องใช้ทันที อีกทั้งการก่อสร้างโรงไฟฟ้าต้องใช้เวลากว่า 3-5 ปี และหากต้องสร้างท่อก๊าซด้วยก็จะต้องกินเวลา 5-7 ปี จึงต้องมีการวางแผนล่วงหน้า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอในอนาคต ป้องกันไม่ให้เกิดไฟตกหรือไฟดับ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางพลังงานของประเทศ และ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

ตัวเลขไฟฟ้าสำรองที่แท้จริง สอดคล้องความต้องการใช้

ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ชี้แจงในเรื่องนี้ว่า กระทรวงมีความเป็นห่วงว่าข้อมูลที่พรรคการเมืองบางพรรคสื่อสารออกมา จะทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยเฉพาะในเรื่องของปริมาณสำรองไฟฟ้าของประเทศ ที่มีการให้ข่าวที่บิดเบือนว่าประเทศไทยมีปริมาณการสำรองไฟฟ้ามากถึง 50-60% และเป็นต้นเหตุทำให้ค่าไฟแพงนั้นยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง 

ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

อีกทั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าไม่เป็นไปตามประมาณการ สภาวะทางเศรษฐกิจถดถอย จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยลดลงอย่างมาก ความต้องการใช้ไฟฟ้าจึงน้อยตามไปด้วย ทำให้ปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองที่เคยคาดการณ์จึงดูมากกว่าความต้องการใช้จริง

ยิ่งใช้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมาก ยิ่งต้องสำรองไฟมาก

แม้ทิศทางการผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันจะเริ่มหันไปให้ความสนใจกับการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น แต่ด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์, โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าที่ไม่มีความเสถียร จึงต้องมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่มีความเสถียร สำรองไว้ในกรณีที่ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนไม่สามารถผลิตได้ด้วย

ยกตัวอย่างในกรณีของ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ สามารถผลิตได้ในช่วงกลางวันแค่ประมาณ 4-5 ชม.ต่อวัน เท่านั้น ในขณะที่ โรงไฟฟ้าพลังงานลม ส่วนใหญ่จะผลิตได้ในช่วงหัวค่ำและกลางคืน อยู่ที่ประมาณ 6-7 ชม.ต่อวัน ส่วน โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ สามารถผลิตได้ในฤดูฝน จะไม่สามารถผลิตได้ในฤดูแล้ง หากจะคำนวณโดยการนำกำลังการผลิตติดตั้งของแหล่งผลิตไฟฟ้าทั้ง 3 ประเภทนี้มารวมกันแล้วไปนับเป็นกำลังผลิตสำรองจะไม่ถูกต้อง เพราะแหล่งผลิตไฟฟ้าทั้ง 3 ประเภทนี้ไม่สามารถผลิตได้ในเวลาเดียวกัน 

ชวนทำความเข้าใจ ปริมาณไฟฟ้าสำรองของไทย ไม่ได้ทำให้ค่าไฟแพงอย่างที่คิด

ทั้งนี้ในหลายประเทศที่มีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเยอะ ก็จะมีปริมาณสำรองฟ้าสูงด้วยเช่นกัน เช่น  สวิสเซอร์แลนด์ มีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 78% มีปริมาณไฟฟ้าสำรอง 92% , สวีเดน สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 69% มีปริมาณไฟฟ้าสำรอง 57% และเดนมาร์ก สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 52.1% และมีปริมาณไฟฟ้าสำรองถึง 130%  เป็นต้น

ดังนั้น การสร้างความเข้าใจว่ากำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศควรมีแค่ 15-20% ที่ผู้สมัครจากหลายพรรคการเมืองออกมาพูดกัน จึงเป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน


ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พ.ศ.2559 / IRENA, Renewable Capacity Statistics 2023


ชี้ค่าไฟ ไม่ได้แปรผันตามปริมาณไฟฟ้าสำรอง

ราคาไฟฟ้าที่สูงขึ้นในปี 2565 นั้น ไม่ได้แปรผันตามปริมาณ Reserve Margin โดยในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าน้อยลง ขณะที่ปริมาณการสำรองไฟฟ้ายังอยู่ระดับสูงกว่าความต้องการใช้ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อค่าไฟของไทย ส่วนในปี 2558 ที่ปริมาณการสำรองไฟฟ้ามีเพียง 29% แต่ค่าไฟกลับสูงถึง 3.86 บาท สะท้อนให้เห็นว่าค่าไฟที่ปรับขึ้นนั้น ไม่ได้สัมพันธ์กับ Reserve Margin แต่อย่างใด  


ค่าไฟฟ้า ไม่ได้วิ่งตาม กำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง

แล้วค่าไฟนั้นขึ้นอยู่กับอะไร?  ค่าไฟมีต้นทุนที่นำมาคำนวณหลักจากราคาพลังงานที่นำมาใช้ผลิตไฟฟ้าในขณะนั้น ซึ่งจากกราฟจะเห็นว่า ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นนั้นแปรผันตามราคาก๊าซฯ (Pool Price) อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนว่าปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าไฟฟ้าคือราคาก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้ ในปี 2564 แม้ก๊าซฯ จะราคาสูงขึ้น แต่รัฐมีการตรึงราคาค่าไฟฟ้าไว้ เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน แต่สามารถทำได้ในระยะสั้นเท่านั้น

ที่มา: แผนพัฒนากาลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561, สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)

 

ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทางออกระยะยาวแก้ปัญหาค่าไฟแพง

ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้เห็นชอบการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง และขยะอุตสาหกรรม ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 – 2573 อีก 3,668 เมกะวัตต์ หลังเปิดรับซื้อไปแล้ว 5,203 เมกะวัตต์

โดยโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีการเปิดรับซื้อใหม่นั้น จะเป็นไฟฟ้าราคาถูก ช่วยลดค่า Ft ส่งผลให้ค่าไฟลดลง เนื่องจากเป็นการลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติที่มีราคาผันผวนสูง หากไม่มีการเปิดรับซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่นี้ ประเทศไทยจะต้องผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติที่มีต้นทุนต่อหน่วยประมาณ 3.71 บาท/หน่วย (คำนวณจากราคา Pool Gas ที่ 444 บาท/ล้านบีทียู ณ เดือน ม.ค.-มิ.ย.65)

ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ค่าไฟแพง ในขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่นี้ มีต้นทุนเพียง 2.0724 – 3.1014 บาท/หน่วย เท่านั้น และ เป็นราคาที่ถูกกว่าค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของประเทศที่ 4.72 บาทต่อหน่วย (งวด ม.ค.-เม.ย. 66)
 

ชวนทำความเข้าใจ ปริมาณไฟฟ้าสำรองของไทย ไม่ได้ทำให้ค่าไฟแพงอย่างที่คิด