
ประเด็นร้อนแรงไม่แพ้อากาศในตอนนี้ คงต้องยกให้กับปัญหา “ค่าไฟแพง” ที่วนกลับมาอีกครั้งเมื่อเข้าหน้าร้อน แต่ครั้งนี้ประชาชน ต่างออกมาโชว์บิลค่าไฟ ในโลกออนไลน์ พร้อมกับแสดงความเห็น ไปในทางเดียวกันว่า ค่าไฟแพงขึ้น มากกว่าทุกครั้งแบบก้าวกระโดด ซึ่งการไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน.(MEA) ได้ออกมาชี้แจงว่า ปัจจัยสำคัญมาจากสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่าทุกปี โดยบางพื้นที่มีอุณหภูมิสูงถึง 43 องศาเซลเซียส ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องทำความเย็น ทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม
ทุกอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศา ค่าไฟจะเพิ่มขึ้น 3%
นายจาตุรงค์ สุริยาศศิน รองผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน. (MEA) ในฐานะโฆษก กฟน. เปิดเผยว่า ช่วงนี้ที่มีผู้ใช้ไฟฟ้าสงสัยว่า ค่าไฟสูงขึ้นเพราะการไฟฟ้าขึ้นค่าไฟนั้น ขอชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง โดยกฟน. ยังคงใช้หลักเกณฑ์วิธีการคิดค่าไฟฟ้า จากหน่วยการใช้ไฟฟ้าในอัตรา ตามที่นโยบายของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนด
แต่ด้วยอากาศที่ร้อนจัด ทำให้กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าบางกลุ่มทำงานหนักขึ้นในช่วงหน้าร้อน อาทิ เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ ในสภาวะอากาศปกติ เช่น อุณหภูมิภายนอกอยู่ที่ 28 องศาเซลเซียส หากเราปรับอุณหภูมิแอร์ในห้องที่ 25 องศาเซลเซียส แอร์จะทำงานหนักขึ้นอีก 3 องศา แต่หากอุณหภูมิภายนอกเป็น 35 องศาเซลเซียส แอร์จะทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีก 10 องศา โดยผลจากการทดสอบพบว่า ในทุกๆ 1 องศาของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น แอร์จะกินไฟเพิ่มขึ้นประมาณ 3%
ชี้แจงค่า Ft ปรับขึ้นในอัตรา ต่ำกว่าคาดการณ์เพื่อลดผลกระทบ
สำหรับค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ ค่า Ft ซึ่งตกเป็นจำเลยสังคมทุกครั้งเมื่อราคาค่าไฟสูง นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะที่กำกับดูแลค่าไฟ และ พิจารณาปรับขึ้นค่า Ft โดยตรง ระบุว่า ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงต้นทุนต่ำที่ใช้ผลิตไฟฟ้าลดลงมาก จากเคยผลิตได้ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เหลือ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือลดลง 20-30%
ทำให้ต้องนำเข้า ก๊าซ LNG จากต่างประเทศเข้ามาทดแทน ซึ่งเป็นช่วงที่ก๊าซ LNG ราคาพุ่งสูงแตะระดับ 40-50 เหรียญต่อล้านบีทียู จากเคยราคา 28-29 เหรียญต่อล้านบีทียู เนื่องจากผลพวงสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ ตรงกับช่วงที่ยุโรปเข้าสู่ฤดูหนาว แต่ด้วยความจำเป็นต้องใช้ เราจึงต้องยอมจ่ายแพง เพื่อมาทดแทนก๊าซที่ขาดหายไปชั่วคราว ทำให้การคำนวณค่า Ft มีอัตราสูงขึ้นมาโดยตลอดแต่เพื่อบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนผู้ใช้ไฟ เราจึงปรับขึ้นแบบขั้นบันไดและตรึงไว้ในอัตราที่กระทบผู้ใช้ไฟน้อยที่สุด
อย่างเช่น งวด ม.ค.-เม.ย. 2566 ซึ่งปกติหากเป็นอัตราเดียวจะเท่ากับ 5.24 บาทต่อหน่วย (ค่า Ft 145.74) แต่เพื่อลดผลกระทบ กกพ. จึงคำนวณค่าไฟจากการ จัดสรรก๊าซในอ่าวไทย ที่มีราคาถูกให้ประชาชนก่อนเป็นกรณีพิเศษทำตรึงไว้อัตราเดิม 4.72 บาทต่อหน่วย (ค่า Ft 93.43) สำหรับประเภทบ้านที่อยู่อาศัย
ขณะที่ค่าไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมงวด ม.ค.-เม.ย. 2566 เท่ากับ 5.33 บาทต่อหน่วย (ค่า Ft 154.92 ) เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมได้ช่วยรับภาระแทนประชาชนบางส่วน ในขณะที่อัตราค่าไฟฟ้าในงวด พ.ค.-ส.ค. 2566 ล่าสุด กกพ. ได้ปรับลดค่า Ft จาก 4.77 บาทต่อหน่วย เป็น 4.70 บาทต่อหน่วยตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอขอรับภาระยืดหนี้ การชำระค่าไฟฟ้า ที่รับภาระแทนประชาชนไปก่อน จาก 2 ปี เป็น 2 ปี 4 เดือน
“ค่าไฟฟ้าจะทยอยปรับลดลงตามทิศทางราคาพลังงานอย่างแน่นอน ยืนยันว่าไม่มีใครได้กำไร และ ขาดทุน แต่หากกกพ.ประมาณการต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำเกินไป ก็เป็นอันตรายและส่งผลกระทบต่อภาระหนี้สิน และ สภาพคล่องของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เช่นกัน เราต้องคำนึงถึงความน่าเชื่อถือของ กฟผ.ด้วย เพราะสภาพคล่องกระทบกับเครดิตของ กฟผ. จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของประเทศ จึงอยากหาวิธีให้ทุกฝ่ายอยู่ด้วยกันได้” นายคมกฤช กล่าว