svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Business thai

ชวนรู้จัก “CBDC” สกุลเงินดิจิทัลไทย ในนโยบาย กระเป๋าเงินดิจิทัล จากเพื่อไทย

"สกุลเงิน CBDC" สกุลเงินดิจิทัลที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังพัฒนาภายใต้โครงการ "อินทนนท์" คือ สกุลเงินที่พรรคเพื่อไทยจะนำมาใช้กับนโยบาย กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งสกุลเงินนี้จะนำไปใช้จ่ายได้อย่างไร เราจะพาไปทำความรู้จัก กันให้มากขึ้น

ยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง หลังพรรคเพื่อไทย ปล่อยหมัดเด็ดกับ นโยบาย "กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท"  โดยมีการยืนยันเบื้องต้นแล้วว่า เงินดิจิทัลที่จะถูกแจกนั้นจะไม่ใช่เงินสด แต่เป็นสกุลเงิน CBDC  ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้  ซึ่งจะเปลี่ยนเงินรูปแบบจากธนบัตร มาเป็นรูปแบบดิจิทัล ให้ประชาชน สามารถนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ได้สะดวก รวดเร็ว อีกทั้งเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ระบบชำระเงินที่เข้าถึงง่าย และ มีความปลอดภัยสูง

สกุลเงินดิจิทัล CBDC ของไทย

ย้อนดูแผน พัฒนาเงินดิจิทัล ของไทย จากธปท.

ตั้งแต่ปี 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ได้ดำเนินโครงการ พัฒนาสกุลเงินดิจิทัล โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ภายใต้ชื่อโครงการว่า "อินทนนท์"  โดยมีทั้งหมด 3 ระยะ ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ สถาบันการเงิน 8 แห่ง และบริษัท R3 (ผู้พัฒนา DLT ใน Corda Platform) ในการสร้างระบบการชำระเงินต้นแบบ

ระยะที่ 1 สร้างระบบการชำระเงินต้นแบบ เป็นขั้นตอนของการโอนเงินระหว่างธนาคาร ต่อธนาคารที่เข้าร่วมด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) โดย ธปท. จะแปลงเงินฝากของสถาบันการเงินที่นำมาฝากไว้ที่ ธปท.ให้อยู่ในรูปสกุลเงินดิจิทัล ที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) และ ออกแบบกลไก การให้สภาพคล่อง แก่สถาบันการเงินระหว่างวันแบบอัตโนมัติ 


 

ระยะที่ 2 พัฒนาขีดความสามารถ ของระบบการชำระเงินต้นแบบ เพื่อให้ระบบต้นแบบรองรับธุรกรรมที่ใกล้เคียงกับโลกความเป็นจริงมากขึ้น ตั้งแต่การแปลงพันธบัตรให้อยู่ในรูป Token การส่งมอบพันธบัตรและชำระเงินค่าพันธบัตรในเวลาเดียวกัน (Delivery Versus Payment: DVP) การจ่ายดอกเบี้ย จนถึงการจ่ายคืนเงินต้นในวันที่พันธบัตรครบกำหนด รวมทั้งออกแบบระบบให้รองรับการซื้อขายพันธบัตรในตลาดรอง หรือนำพันธบัตรมาใช้เป็นหลักประกันสำหรับธุรกรรมซื้อคืน (Repurchase Agreement)

พร้อมวางกลไกที่ช่วยตรวจสอบข้อมูล เพื่อช่วยป้องกันธุรกรรมการชำระเงินที่ต้องสงสัย (Fraud Prevention) รวมถึงตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อลดกระบวนการตามมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท.

ระยะที่ 3 เชื่อมต่อกับระบบการชำระเงินในต่างประเทศผ่านการใช้ CBDC เพื่อขยายขอบเขตไปสู่การชำระเงินข้ามประเทศระหว่างสถาบันการเงิน ผ่านการใช้ CBDC โอนและชำระเงินโดยตรง เพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรม ระหว่างประเทศให้มีความรวดเร็ว มีต้นทุนที่ถูกลง แต่มีความปลอดภัยสูง

ชวนรู้จัก “CBDC” สกุลเงินดิจิทัลไทย ในนโยบาย กระเป๋าเงินดิจิทัล จากเพื่อไทย


 

เงิน CBDC ต่างจาก เงิน Cryptocurrency อย่างไร

ธปท. ได้ชี้แจงว่า retail CBDC ซึ่งเป็นเงินบาทในรูปดิจิทัล จะมีมูลค่าคงที่คือ 1 CBDC = 1 บาท และไม่สามารถนำมาซื้อขายเพื่อเก็งกำไรได้ โดย retail CBDC มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อไว้รองรับการใช้จ่ายของประชาชน ที่มีแนวโน้มเปลี่ยนไปทำธุรกรรมทางการเงิน ในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น ไม่ใช่เพื่อการลงทุน

ขณะที่ Cryptocurrency เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการออกแบบมา เพื่อเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน โดยจะใช้เทคนิคการเข้ารหัส (Cryptography) ในการป้องกันและยืนยันธุรกรรมผ่านระบบที่เรียกว่า blockchain แต่เนื่องจาก Cryptography สามารถซื้อขายได้ จึงมีความผันผวนสูง ตามความต้องการของตลาด และ จะถูกเก็บภาษีจากการซื้อขาย

ยังไม่มีแผนเปิดใช้ CBDC อย่างเป็นทางการ 

ล่าสุดในปี 2565 โครงการนี้ ได้มีการขยายขอบเขตการศึกษาและพัฒนา Retail CBDC ไปสู่การใช้งานจริงในวงจำกัด (Pilot) พื้นที่เฉพาะ และในกลุ่มผู้ใช้งานประมาณ 10,000 ราย ที่กำหนดโดย ธปท. และภาคเอกชนที่ร่วมทดสอบ 3 ราย3  ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด

ซึ่งการทดสอบนี้จะนำเทคโนโลยีของบริษัท Giesecke+Devrient4 มาประยุกต์ใช้ โดยจะเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ไปจนถึงกลางปี 2566 เพื่อประเมินประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของระบบ รวมถึงรูปแบบของการนำเทคโนโลยีมาใช้งานจริงกับประชาชนรายย่อย

ซึ่งปัจจุบัน ธปท. ยังไม่มีแผนที่จะออก Retail CBDC เนื่องจากการออก CBDC ต้องพิจารณาประโยชน์และความเสี่ยงอย่างรอบด้านก่อน เพราะอาจส่งผลต่อระบบการเงินของประเทศได้

นักวิชาการชี้ ช่องโหว่มาก หวั่นกระทบระบบการเงินระยะยาว

รศ.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า  กล่าวว่า การทำเงินดิจิทัลมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ซึ่งเหมือนกับการเสกเงินขึ้นมา หากไม่มีระบบรองรับที่ชัดเจน ก็จะกระทบต่อระบะการเงินของไทยในระยะยาว
 

รศ.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า

โดยนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่ประเมินว่าจะใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้าน แต่โดยส่วนตัวมองว่าในช่วงแรกอาจจะกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยได้จริงๆ และ ก็จะดันให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตามความต้องการ แต่หลังจากสิ้นสุดโครงการแล้วราคาสินค้าที่ถูกปรับขึ้นไปจะลดลงยาก ก็จะกลายเป็นปัญหาเงินเฟ้อตามมาได้อีก 

"นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล ยังมีช่องโหว่อีกมาก นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะก่อให้เกิดหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น และยังมีผลกระทบต่อสังคมที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงนโยบายอย่างแท้จริง" รศ.พิชาย  กล่าวว่า 

อย่างไรก็ตาม การใช้เงินสกุลดิจิทัล CBDC ยังเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย ที่ยังดูเป็นเรื่องห่างไกลและเข้าใจยาก  ยิ่งการทำมาใช้ ในนโยบายประชานิยมที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้เข้าใจในเรื่องนี้มากนัก ก็ยิ่งเป็นความสุ่มเสี่ยงที่จะต้องพิจารณาให้รอบคอบมากไปกว่าเดิม