ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นความหวังว่าจะเป็นพระเอกในการฟื้นเศรษฐกิจไทยปีนี้ ส่อแววจะเกิดปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน นักท่องเที่ยวหลักที่ไทย ฝากความหวังไว้ว่าจะมีเงินกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายแบบเต็มเม็ด เต็มหน่วย แต่นั่นอาจไม่เป็นดังหวัง! เพราะเมื่อจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการ และ อนุญาตให้ชาวจีนเดินทางออกท่องเที่ยวในรูปแบบ “กรุ๊ปทัวร์” ได้ ตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. 2566 ซึ่งมีไทย ติดลำดับที่ 1 ใน 20 ประเทศกลุ่มนำร่อง
บริษัทค้าส่งทัวร์ขนาดใหญ่ในจีน จึงจับมือกับกลุ่มทุนชาวจีนที่ทำธุรกิจในไทย จัดแพ็คเกจทัวร์แบบเต็มสูบ โดยไม่มีบริษัททัวร์ของคนไทยมาข้องเกี่ยว ทั้งโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ร้านโชว์ แหล่งท่องเที่ยว ไกด์นำเที่ยว รวมไปถึงจัดหารถบัสเอง ร้านขายของฝาก และหาวัดให้เช่าพระ โดยให้ผลประโยชน์กับคนดูแลและควบคุมด้านกฎหมายจนเรียกได้ว่าเป็น “ทัวร์อั้งยี่”
ทุนจีนกินรวบธุรกิจท่องเที่ยวไทย !
ตามปกติแล้วการท่องเที่ยวในรูปแบบกรุ๊ปทัวร์ ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ในเรื่องการว่าจ้างมัคคุเทศก์ (ไกด์) ท้องถิ่น ระบุว่า บริษัททัวร์ที่จะพานักท่องเที่ยวเข้าไปในแหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่นต่างๆ จะต้องว่าจ้างคนในท้องถิ่นเป็นไกด์นำเที่ยวด้วยทุกครั้ง ควบคู่กับไกด์หลักที่ดูแลในกรุ๊ปอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้เข้าสู่ท้องถิ่น แต่เมื่อเกิด "ทัวร์อั้งยี่" ปัญหาเรื่องไกด์เถื่อนจึงตามมา
ซึ่งนายสุรวัช อัครวรมาศ รองประธาน สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย หรือ สทท. กล่าวว่า ทัวร์อั้งยี่ รุนแรงกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญที่เป็นการขายทัวร์ต่ำกว่าทุน เพราะชาวจีนทำธุรกิจเองทั้งหมด มีการนำมัคคุเทศก์ต่างชาติเข้ามาครั้งละ 60-80 คน จัดหาที่พัก และ หางานมัคคุเทศก์ให้ ซึ่งตามกฎหมายเป็นอาชีพที่สงวนไว้ให้แค่คนไทยเท่านั้น
ซึ่งหากให้ตนประเมินความเสียหายเทียบกับ “ส่วนรั่วไหลของการท่องเที่ยว” ที่แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2560-2564) ประเมินไว้ ในช่วงก่อนโควิด พบว่ารายได้ท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 18% ของจีดีพีไทย มีอัตราการรั่วไหล 28.37% หรือกว่า 7 แสนล้านบาท เป็นการสูญเสีย จากการนำเข้าวัตถุดิบเนื้อสัตว์ สุรา เข้ามา เพื่อบริการนักท่องเที่ยว รวมต้นทุนจากสถาบันการเงินในการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว
หากรวมความเสียหายที่เกิดจากทัวร์ศูนย์เหรียญในขณะนั้นเข้าไป จากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนมาไทย 11 ล้านคน ในช่วงปี 2562 ซึ่งมี การใช้จ่ายต่อคนต่อทริปราว 50,000 บาท คาดว่าจะสูญเสียเป็นหลักแสนล้าน ซึ่งทัวร์อั้งยี่จะมีความเสียหายมากกว่านั้น
ไทย-จีน ประสานความร่วมมือคุมต้นทาง และ ปลายทาง
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่าได้ ประสานความร่วมมือ กับทางการจีน เกี่ยวกับการสร้างกลไกรับนักท่องเที่ยวคุณภาพร่วมกัน โดยทางการจีนแจ้งว่า ถ้าบริษัททัวร์ใดจะส่งนักท่องเที่ยวจีนออกไปเที่ยวต่างประเทศ ต้องได้รับอนุญาตจากทางการจีนก่อน เพราะฉะนั้นก็เป็นการคุมต้นทาง ส่วนเราเองก็ต้องคุมปลายทางเหมือนกัน
เบื้องต้น กรมการท่องเที่ยวได้เปิดลงทะเบียนบริษัทนำเที่ยวที่ทำธุรกิจคู่ค้ากับจีนถึงวันที่ 31 มี.ค. 2566 มีบริษัทนำเที่ยวลงทะเบียนแล้วกว่า 100 บริษัทเท่านั้น จาก 10,000 บริษัท และได้ประสานความร่วมมือกับกงสุลไทยในจีน หากพบบริษัทที่ไม่อยู่ในรายชื่อบริษัทนำเที่ยวที่ทำธุรกิจคู่ค้ากับจีน ทางสถานทูตจีนจะตรวจประวัติย้อนหลังอย่างเข้มข้น
“ถ้าบริษัทนำเที่ยวของจีนทำความเสียหายกับไทย เช่น ทิ้งทัวร์ ใช้ไกด์นอมินี ใช้ไกด์จีน ให้ส่งผู้กระทำผิดให้เขาด้วย รัฐบาลจีนจะใช้กฎหมายเขาลงโทษฝั่งจีนด้วย ซึ่งตรงนี้เรามองว่ามีประสิทธิภาพที่สุด เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้กลัวกฎหมายไทย แต่กลัวกฎหมายจีนมากกว่า ดังนั้นหากไทยจับได้ว่ามากระทำความผิดในไทย ก็จะส่งให้ทางการจีนลงโทษ เพราะกฎหมายบ้านเขาโทษหนักกว่าบ้านเรา” นายพิพัฒน์ กล่าว
ในปีนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ททท. ประเมินว่าไว้ว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทย 7-8 ล้านคน ดันยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยรวมทั้งปี เพิ่มขึ้นใกล้ 30 ล้านคน สร้างรายได้รวม 2.38 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 80% ของภาวะปกติในปี 2562 แต่หากปัญหาทัวร์อั้งยี่ ยังเรื้อรัง ความหวังที่จะได้เม็ดเงินดังกล่าวก็อาจจะพลาดเป้าได้