
1 มีนาคม 66 ที่ศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษายืนยกฟ้อง ในคดี หมายเลขที่ อ.572/2565 ระหว่าง บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จํากัด มหาชน (บีทีเอส) ยื่นฟ้อง คณะกรรมการคัดเลือก ตามมาตรา 36 แห่ง พรบ.การร่วมลงทุนระหว่าง รัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) กับพวก รวม 2 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย (คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
กรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาผู้ชนะการประเมินของเอกสารคัดเลือกเอกชน และวิธีการประเมินข้อเสนอด้านเทคนิค ข้อเสนอด้านการลงทุน และผลตอบแทนในการร่วมลงทุนระหว่างรัฐ และเอกชน การออกแบบและก่อสร้างงานโยธาส่วนตะวันตก การจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการ การเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงรักษา โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นผู้ซื้อเอกสารข้อเสนอการร่วมลงทุนได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงนำคดีมาฟ้อง
คดีนี้ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปรากฏ ข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการประกาศเชิญชวนฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนที่แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว เหตุแห่งความเดือดร้อนหรือ ความเสียหายจากคำสั่งที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จึงหมดสิ้นไปแล้ว ศาลจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีในข้อหา ฟ้องขอให้เพิกถอนหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนฯ ที่แก้ไขเพิ่มเติม
ในส่วนค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอตามคำฟ้องเพิ่มเติม ได้แก่ ค่าจ้างที่ปรึกษาทางเทคนิค และ ที่ปรึกษาทางกฎหมาย นั้น ศาลฯ เห็นว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการค้าตามปกติ ของผู้ฟ้องคดี เเละผู้ฟ้องคดีไม้ได้เเสดงให้ศาลเห็นว่าเป็นความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำการแก้ไขเพิ่มเติม และเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ดังกล่าว เมื่อค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างที่ปรึกษาทางเทคนิค และที่ปรึกษาทางกฎหมายของผู้ฟ้องคดีมิใช่ค่าเสียหาย โดยตรงจากการดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนฯ ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง กรณีจึงไม่อาจถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายดังกล่าวให้เเก่ผู้ฟ้องคดีได้
ผู้ฟ้องคดี และผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด
ศาลปกครองสุดพิเคราะห์แล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ปรับแก้ไขหลักเกณฑ์ทีโออาร์ เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ต้องชดใช้ค่าสินไหมละเมิดให้แก่ผู้ถูกฟ้องหรือไม่ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองคัดเลือกเอกชนและแก้ไขหลักเกณฑ์ทีโออาร์ไม่ชอบด้วยกม.หรือไม่ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีอำนาจแก้ไขหลักเกณฑ์หรือไม่และแก้ไขถูกต้องหรือไม่ หากแก้ไขหลักเกณฑ์ถูกต้องแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองใช้ดุลพินิจโดยชอบหรือไม่
ศาลปกครองสูงสุด โดยที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาประกาศนโยบายเชิญชวน และประกาศแก้ไขหลักเกณฑ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่สอง ประกอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องดดีที่2 มีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลง ยกเลิก ไม่คัดเลือกผู้ประมูลที่เสนอผลตอบแทนสูงสุดก็ได้
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองแก้ไขหลักเกณฑ์เห็นชอบหรือไม่ การแก้ไขหลักเกณฑ์คัดเลือกเอกชนทำนอกเหนือไปจากที่ครม.อนุมัติหรือไม่ และต้องเสนอครม.อนุมัติหรือไม่ ภายหลังการแก้ไขหลักเกณฑ์ และต้องทำความคิดเห็นภาคเอกชนหรือไม่ การแก้ไขหลักเกณฑ์ไม่ได้อยู่นอกเหนือจากมติครม.ที่อนุมัติไว้ก่อนหน้านี้ จึงไม่ต้องเสนอครม.พิจารณาอีกครั้ง ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่สอง แก้ไขเอกสารในสาระสำคัญต้องรับฟังเอกชนหรือไม่
ศาลปกครองสูงสุด โดยที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด เห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 สามารถทำได้ ไม่ต้องฟังความเห็นของเอกชน โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่สองใช้ดุลพินิจโดยสุจริตไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งการแก้ไขหลักเกณฑ์ทีโออาร์ เป็นไปเพื่อวัตถุกประสงค์ให้บรรลุเป้าประสงค์ในการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน ด้วยความคุ้มค่า โปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ขัดต่อความเสมอภาค ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มนิติบุคคลใด กลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ
กรณีจึงฟังไม่ได้ว่า การแก้ไขหลักเกณฑ์ของผู้ถูกฟ้องคดี ทำตามอำเภอใจดังนั้นผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง จึงกระทำโดยสุจริตไม่เลือกปฎิบัติ ใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีอำนาจ และแก้ไข เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การคัดเลือก โดยใช้ดุลพินิจโดยชอบ จึงไม่เป็นการกระทำละเมิด จึงไม่จำเป็นต้องชดใช้ค่าเสียหาย ที่ศาลปกครองชั้นต้นมานั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
ด้านนายโกสิทธิ์ ประสิทธิ์เวโรจน์ ทนายความ BTSC กล่าวว่า ได้รายงานให้ผู้บริหาร BTSC ทราบแล้ว คดีนี้เป็นคดีที่ฟ้องเกี่ยวกับใช้อำนาจแก้ไขหลักเกณฑ์การประมูลโดยมิชอบ อย่างไรก็ตามยังมีคดีที่ค้างอยู่ในศาลปกครอง 2-3 คดี ซึ่งคดีหลักคือ คดีฟ้องล้มการประมูลฯรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล